ข่าว"สน" ก้าวออกจากเซฟโซน พิสูจน์ฝีมือการแสดง เปิดหัวใจพร้อมวิวาห์ หากเจอคนที่เข้าใจ - kachon.com

"สน" ก้าวออกจากเซฟโซน พิสูจน์ฝีมือการแสดง เปิดหัวใจพร้อมวิวาห์ หากเจอคนที่เข้าใจ
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s

อยู่ในวงการมานาน 10 ปีแต่นี่เป็นครั้งแรกที่พระเอกหนุ่ม สน-ยุกต์ ส่งไพศาล ได้มาพิสูจน์ฝีมือในภาพยนตร์สยองขวัญ “ช่องส่องผี (The Real Ghosts)” จาก “แอปชอต จำกัด” ผลงานการกำกับโดย ต้อง-พงษ์วัฒน์ ตันนุกูล ซึ่งหนุ่มสนรับบทบาทหนุ่มบ้างาน “ดล” ประกบนางเอกน้องใหม่ ซูริ-ซูซานน่า เรโนล แถมเรื่องนี้ยังเพิ่มดีกรีความหลอน ด้วยการยกกองไปถ่ายทำในสถานที่จริงด้วย งานนี้ “มูฟวี่ โซน” เลยไม่รอช้าคว้าตัวหนุ่มคนนี้มาพูดคุยถึงความท้าทายบทบาทครั้งนี้ รวมถึงชีวิตในวงการที่เจ้าตัวขอออจากคอมฟอร์ท โซน เพื่อไม่หยุดพัฒนา และเรื่องหัวใจที่สนบอกว่า หากเจอคนที่เข้าใจ ก็พร้อมสร้างครอบครัวด้วย

ทำไมตัดสินใจรับเรื่อง “ช่อง-ส่อง-ผี” นี้ เห็นว่าเป็นการรับแสดงหนังในรอบ 10ปีด้วย?
“ตอนแรกที่เห็นบทและคาแรกเตอร์ ผมรีบรับเลย เพราะอยากเล่นหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บทดูน่าพิศวง น่ากลัว เป็นประสบการณ์ใหม่จริง ๆ เราอยากลองท้าทายอะไรแบบนี้ ส่วนคาแรกเตอร์ก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะผมไม่เคยแสดงหนังผีมาก่อน ซึ่งการแสดงหนังผี บางทีเราต้องสมมุติว่าได้ยินเสียงหรือเห็นด้วยตัวเอง ทั้งที่ตอนถ่ายทำไม่มีจริง ต้องใช้จินตนาการมากกว่าปกติครับ”

คาแรกเตอร์ “ดล” มีความเหมือนหรือต่างจาก “สน” มากน้อยแค่ไหน?
“ตัวดลไม่มีอะไรฉีกจากตัวผม แต่เขาอาจมืดมนกว่า ข้างในมีความทุกข์หรืออดีตที่หนักใจ เลยทำให้เขาแสดงออกมาแบบนั้น ซึ่งการเตรียมตัวรับททนี้ มันเตรียมจากด้านใน เราต้องเปิดจริง ๆ ที่จะทำหรือจินตนการในสิ่งที่เราไม่เคยทำ เป็นเรื่องความเชื่อมากกว่า ผมก็เชื่อว่าสิ่งลี้ลับมีจริงนะ แต่ไม่ได้กลัว ในเรื่องตัวดลมีซิกซ์เซ้นส์ แต่ผมไม่อยากมี ไม่อยากเห็นด้วย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาเจอกันดีกว่าครับ (ยิ้ม) ”

เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ในกองถ่ายบ้างรึเปล่า?
“เห็นทีมงานก็เจอกันนะ เพราะสถานที่ถ่ายทำเป็นสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์จริง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาสถานที่จริงนะครับ ให้เราหลอนเล่น ๆ รึไง (ยิ้ม) มีการใช้เครื่องจับวิญญาณด้วย แต่ผมไม่ได้เป็นคนกลัวผี ซึ่งบรรยากาศในกองก็อยู่เฮฮากัน ไม่ได้น่ากลัว ตอนเปิดกล้องและก่อนถ่ายทำในสถานที่นั้น ทางผู้กำกับก็ให้เราขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อยู่แล้วครับ”

จากที่เล่นละครแล้วมาแสดงหนัง คิดว่าเหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง ปรับตัวเยอะมั้ย?
“เรื่องการปรับตัว คือในจอภาพยตร์มันใหญ่มาก จะเห็นรายละเอียดเยอะมาก ดังนั้นผมไม่ต้องแสดงใหญ่เกินไป และภาพยนตร์ถ่ายทำแค่กล้องเพียงกล้องเดียว ดังนั้นในฉากเดียวกัน อาจต้องถ่ายหลายมุม เราต้องทำความรู้สึกตัวเองให้มันต่อเนื่องครับ ซึ่งความยากของการถ่ายทำภาพยนตร์ คือเล่นน้อยแต่ต้องรู้สึกเยอะ ต้องทำยังไงครับ”

มาร่วมงานกับ ซูริ - ซูซานน่า และ ต้อง-พงษ์วัฒน์ ผู้กำกับ เป็นยังไงบ้าง?
“กับซูริเรารู้จักคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพราะมีผู้จัดการคนเดียวกัน ก็ทำงานด้วยกันง่าย น้องซูริเป็นคนตั้งใจทำงาน แม้เป็นหนังเรื่องแรกกของน้องและยังไม่มีประสบการณ์เยอะ แต่ผมว่าเขามีของ ซึ่งผมได้เรียนรู้เรื่องการจินตนาการในสิ่งลี้ลับจากน้องเขาเยอะนะครับ ผมเล่นละครมา 10 ปีก็ไม่เคยทำแบบนี้ ซึ่งเขาเข้าถึงบท ผมก็ได้เห็นเขาเล่นว่าต้องเป็นแบบนี้นี่เอง ส่วนการทำงานกับพี่ต้อง ผู้กำกับ ทุกอย่างง่ายและราบรื่น เพราะเขาให้เราแสดงตามที่เรารู้สึกว่าตัวละครรู้สึกจริง ๆ ไม่ได้ให้เล่นเวอร์ ซึ่งผมเล่นตามที่ผมเข้าใจไปก่อน ถ้าตรงไหนที่เขารู้สึกว่าต้องปรับหรือต้องคิดอีกแบบ เขาก็จะบอกผม เราก็เอาคุยกันแล้วแสดงออกมา”

การตีความของหนังผี เรื่องนี้มีต่างจากหนังผีเรื่องอื่น ๆ ในบ้านเรายังไง?
“ต่างครับ ความรู้สึกไม่ใช่วิญญาณอาฆาตแค้น เจอคนตายมาหลอก ไปแนวปีศาจและซาตาน ซึ่งแน่นอนนอกจากความหลอนแล้ว คนดูก็จะได้ความสนุกด้วย เป็นประสบการณ์ผีอีกรูปแบบหนึ่ง ที่คุณจะไม่ได้เห็นในหนังไทยเรื่องอื่นครับ”


นอกจากเรื่องนี้ มีผลงานอะไรอื่นให้อัพเดทกันอีกบ้าง?
“ตอนนี้ “เป็นต่อ” ที่แสดงอยู่ทางช่องวัน 31 และ “สัตยาธิษฐาน” ที่กำลังฉายทางช่อง 3 เรื่องนี้ ผมเล่นเป็นทาส ต้องฟิตหุ่นด้วย ผมถอดเสื้อทั้งเรื่อง ผมลงทุนมาก เนื้อเรื่องเป็นรักโรแมนติกระหว่างเจ้านายผู้หญิงและทาสผู้ชาย และมีความซับซ้อนซึ่งนี่เป็นเรื่องแรกเลยที่ผมรับบทต่ำต้อย ปกติรับบทเป็นคุณชาย เรื่องนี้ต้องอยู่กับดินกินกับทราย ร้อน มีหมดเลย คือถ้าผมไม่รับเรื่องนี้ คนจะไม่ได้เห็นผมพลิกบทบาทการแสดงอีกรูปแบบนึง ตัวผมเองก็พร้อมที่จะลองบทใหม่ ๆ อยู่แล้วครับ”

“สน” อยู่วงการ 10 ปีแล้ว คิดว่าตัวเองเหมือนหรือต่างจากวันแรกที่เข้ามาในวงการยังไง?
“ผมรู้สึกสนุกขึ้น ตอนนี้เหมือนเรามีของแล้ว เริ่มมีฝีมือมากขึ้น ก็อยากรับที่ท้าทายมากขึ้น อะไรเดิม ๆ เล่นซ้ำ ๆ ก็ไม่อยากรับเท่าไหร่ ตอนนี้เริ่มเอ็นจอยกับอะไรใหม่ ๆ กล้าและสนุกกับการรับบทใหม่ ๆ”

จากวันแรกที่เข้ามาในวงการ ก็โดนวิจารณ์เรื่องฝีมือการแสดง ได้ฉายา “พระเอกโรบอท” ตอนนั้นท้อมั้ย?
“ถ้าท้อก็ไม่มีวันนี้สิครับ (ยิ้ม) ผมไม่ใช่คนท้ออยู่แล้ว เสียงวิจารณ์เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากทำให้ดีขึ้น อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า โอเคถึงแม้ผมจะไม่มีพรสวรรค์ แต่ผมก็พยายาม ตั้งใจและทำให้ดีขึ้นได้ ใครจะว่าก็ว่าไป แปลว่าเรายังดีไม่พอ เราก็ต้องพัฒาปรับปรุงตัว ส่วนวันนี้พอใจกับฝีมือการแสดงตัวเองในวันนี้รึยัง คือมันคงไม่มีวันดีพอ ต้องทำให้มันดีต่อไปเรื่อย ๆ ให้คนว่าเราต่อไปเรื่อย ๆ ว่าพัฒนาขึ้นแล้วเหรอ มันต้องมีสเต็ป ถ้าเราไปถึงจุดสูงสุดตั้งแต่แรก มันก็ไม่เห็นพัฒนาการ เพราะฉะนั้นผมอยากให้เห็นว่าดีเป็นลำดับขั้นไปเรื่อย ๆ เราก็ทำให้ดีที่สุด และผมเชื่อว่ามันดีมากกว่านี้เรื่อย ๆ ครับ”

ณ วันนี้ “สน” ยึดติดกับคำว่าพระเอกมั้ย?
“ไม่นะ ผมอยากได้บทที่ดี ท้าทาย ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเอกก็ได้ คือตอนนี้ผมอยากลองแสดงบทตลก แบบโปกฮาไปเลย อย่างเรื่อง “เป็นต่อ” เรายังมีความเก๊กและมีมาดอยู่ เป็นตลกแบบเท่ ๆ แต่ผมอยากเล่นแบบฮาก๊ากไปเลย ผมว่าผมทำได้นะ ถ้าให้คิดมุกสด อาจทำไม่ได้ ถ้ามีบทมาก็น่าพอไปไหว สมัยก่อนผมเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าให้ใครเห็นมุมตลกของตัวเอง พอเราอยู่ในวงการ เราโตขึ้น เราก็รู้สึกอยากให้คนอื่นเห็นมุมนี้บ้าง ส่วนเป้าหมายในวงการ คือผมอยากทำผลงานที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป้าหมายสูงสุดของผมก็อยากแสดงหนังฮอลลีวู้ด อยากทำงานกับคนระดับโลก คือผมชอบ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เพราะเขาเป็นคนเก่ง เมื่อก่อนเขาแสดงแต่บทหล่อ ๆ แต่เขาก็อยากพลิกคาแรกตัวเอง อย่างเรื่อง “เดอะ เรเวแนนท์” ก็แสดงเป็นโจรด้วยซ้ำ เถื่อน ๆ รับทที่ขัดกับภาพแรกที่เราเห็น นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากทำให้เหมือนเขาครับ”

ถ้าให้นิยามความเป็น “สน ยุกต์” เราอยากให้คนมองเราในแง่ไหน?
“ผมอยากเป็นนักแสดงที่มากความสามารถ คนชื่นชมว่าถ้าเป็นหนังที่สนเล่นมันต้องดีแน่ ๆ ส่วนคติประจำใจ ผมคิดแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าทำวันนี้ให้ดีแล้ววันต่อไปมันจะดีมากขึ้น มันก็จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ ครับ”

สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตที่เคยทำ?
“จริง ๆ ผมภูมิใจกับผลงานของผมนะ อันไหนภูมิใจที่สุดผมตอบไปไม่ได้ เพราะภูมิใจคนละแง่กัน พอมีผลงานใหม่เข้ามา ผมเล่นแล้วรู้สึกท้าทายมากกขึ้น ผมก็ภูมิใจกับมัน เราได้โชว์ฝีมือในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้ก้าวออกมาจากคอมฟอร์ท โซนของเรา ผมเป็คนกล้าลุย ถ้าไปเจอสิ่งที่ตัวเองกลัว ผมจะวิ่งเข้าหา ผมจะกลัวแบบนี้ไม่ได้ ถ้ามัวแต่กลัว เราก็อยู่แค่นี้สิ เราต้องก้าวออกไป ส่วนกลัวผิดหวังมั้ย ก็ไปแบบไม่อะไรเสียดีกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่หล่อ หรือมีคนมาว่าเรา ทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีครับ”

หากย้อนเวลาไปบอกตัวเอง เมื่อตอนอายุ 15 ได้ จะบอกว่าอะไร?
“จะบอกวิธีให้พัฒนาเร็วกว่านี้ ตอนนั้นอาจไม่ได้ตั้งใจมาก ไม่เห็นทาง ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าการแสดงคืออะไร ไม่เคยดูละครด้วย เพราะฉะนั้นมันเหมือนเป็นทางตัน เล่นละครเรื่องแรกผมรู้สึกเป็นทางตันจริง ๆ ผมไม่เห็นเข้าใจ ผมเล่นมาเกือบ 3-4 ปี กว่าจะเข้าใจมัน ใช้เวลาเยอะไปหน่อย เลยอยากไปบอกเทคนิคเขา ทั้งเรื่องการพัฒนา ผมไปเรียนแอคติ้ง คนบอกผม อาจเจอปัญหาไม่เหมือนผม แต่ผมรู้ว่าปัญหาของตัวเองคืออะไร ผมสามารถบอกตัวเองได้”


ถามถึงเรื่องหัวใจบ้าง ณ วันนี้เป็นยังไง?
“ตอนนี้ผมมุ่งมั่นกับการทำงานมาก ปีนี้ผมจะมีซีรี่ส์ที่ต้องถ่ายอีก 3 เรื่อง ซึ่งน่าจะกินเวลาเยอะพอสมควร คงไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ส่วนถามว่าเหงามั้ย ผมว่าติดเล่นฟิตเนส ดูแลตัวเอง ตอนนี้ก็รักตัวเอง รักและดูแลครอบครัวด้วย ณ วันนี้ ผมเปิดใจนะ แต่รู้สึกไม่อยากให้สิ่งนั้นมาทำให้เป้าหมายผมไขว้เขว ผมมุ่งมั่นกับงานจริง ๆ รู้ตัวเวลาที่มีความรัก เราจะเอาสมองเกิน 50 เปอร์เซ็นต์คิดถึงแต่เรื่องความรัก พาเขาไปไหนดี มันเสียเวลา ตอนนี้เราสร้างอนาคต สร้างงานเราก่อนดีกว่า มุมมองความรักในวันนี้ คือมีหรือไม่มีก็ได้ครับ”

คนที่จะพิชิตใจเราได้ ต้องมีนิสัยยังไง?
“ต้องเดินไปพร้อมกับผมได้ ต้องเข้าใจอะไรง่าย ๆ ผมไม่ชอบพูดมาก ถ้าพูดรอบเดียวแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้สิ ชอบคนที่พูดรู้เรื่อง เรื่องความสวยก็คงต้องมีนะ แต่ถ้าสวยแล้วคุยไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้ว่าจะคุยทำไม สำคัญที่สุดต้องคุยรู้เรื่อง เข้าใจเรา และผมคุยกับเขาแล้าต้องรู้สึกเข้าใจเขาด้วย ไม่ใช่บางคนเข้ามาแล้วแบบคิดอะไรของคุณ แบบนั้นผมก็ไม่เอาเหมือนนะ อยากเจอคนที่คอนเน็คกันจริง ๆ ผมไม่ชอบอะไรซับซ้อน ผมเชื่อเรื่องพรมลิขิตนะ สักวันนึงคงเป็นแบบนั้น สักวันนึงคงเจอครับ”

ด้วยวัยในตอนนี้ เคยมองภาพการมีครอบครัว หรือแต่งงานมั้ย?
“มีตลอดครับ ผมอยากแต่งงานด้วยซ้ำ การแต่งงาน ถ้าไม่ทำให้เป้าหมายที่ผมตั้งอยู่ถูกบิดเบือนไป ก็โอเคนะ ถ้าซัพพอร์ชีวิตเราได้ ก็พร้อมมีครอบครัวถ้ามีจริง ๆ แต่ประเด็นคือผมไม่หาไง (ยิ้ม) เลยไม่มี ขอทำงานไปก่อนครับ”

ท้ายสุดฝากถึงแฟน ๆ หน่อย?
“ขอขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้สนนะครับ ผมอยากทำงานให้ดีกว่านี้ อยากทำผลงานออกมาให้ทุกคนที่ติดตาม รู้สึกภูมิใจในตัวสน สัญญาว่าตั้งใจทำงานที่ดีต่อไป และขอฝาก “ช่อง ส่อง ผี” อยากให้ไปดูเยอะ ๆ เป็นหนังเรื่องแรกของผมและเป็นหนังสยองขวัญที่คอหนังผีห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้ไม่เหมือนใครครับ”

...จากการพูดคุย ทำให้เราได้เห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาตัวเองของ “สน” อย่างมาก และเชื่อคงทำให้หลายคนหลงรักหนุ่มคนนี้มากขึ้นแน่นอน ส่วนใครอยากพิสูจน์ฝีมือการแสดงภาพยนตร์ของ “สน” ห้ามพลาดใน “ช่องส่องผี” เข้าฉายในวันที่ 20 มิ.ย นี้ ทุกโรงภาพยนตร์