"โอ๊ต-ปราโมทย์" เลือกปรับมุมมอง ชื่อเสียงมาพร้อมบททดสอบ
บันเทิง
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาศิลปินหนุ่ม “โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน” แห่งค่าย ไวท์มิวสิค เครือแกรมมี่ ปรับลุคด้วยแฟชั่นผมทรงใหม่ พร้อมทาบทามแร็พเปอร์หนุ่ม “ปอนด์ P–HOT” และ “DeejayB” มาร่วมทำซิงเกิ้ล “เท เท เท” เพลงจังหวะสนุกแนวฮิปฮอปในแบบของโอ๊ต ออกมาให้แฟน ๆ ได้ฟังและรับรู้ว่าหนุ่มมากความสามารถคนนี้แม้งานจะล้นมือก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการทำงานเพลง โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของงาน ชื่อเสียง เงินทอง ที่คู่ขนานมาพร้อมดราม่าคำวิพากษ์วิจารณ์จากโซเชียลมีเดียที่เข้ามาในชีวิตซึ่งกลายเป็นบททดสอบอันหนักอึ้งเพราะบางเรื่องก็ทำให้ยิ้มไม่ออก วันนี้ “ฮันนี่บี” มีโอกาสคุยกับหนุ่มโอ๊ตแบบหมดเปลือกว่าเขาปรับทัศนคติตัวเองอย่างไรบ้าง ติดตามเรื่องราวของเขาได้ในบทสัมภาษณ์เลยนะคะ
ซิงเกิ้ล “เท เท เท” แตกต่างจากเดิมมากเล่าการทำงานให้เราฟังหน่อย?
“ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่จะปล่อยเพลงใหม่ คอยลุ้นยอดวิว คนฟังชอบหรือเปล่า แฟนเพลงจะคุ้นเพลงของผมที่เป็นป๊อป นิ่ม ๆ มาตลอด คราวนี้เปลี่ยนมาทำเพลงที่มีจังหวะอย่าง “เท เท เท” ปรับลุคเสื้อผ้าถักผม เด็ก ๆ ผมชอบฟังเพลงแนวฮิปฮอปและอาร์ แอนด์ บี อยู่แล้ว อยากลองทำมานาน ผมอยากร่วมงานกับ “ปอนด์ P–HOT” ชอบเขานานแล้วโทรฯ หาเขาว่าอยากทำงานเพลงด้วย เขายินดีแล้วบอกเราว่าแต่งเนื้อเพลงไว้เพลงนึงชื่อ “เท” ผมชอบก็เอาเลย ได้ “DeejayB” ดูแลพาร์ทดนตรีสนุกที่ได้ช่วยแชร์ไอเดียวกันครับ กระแสตอบรับดีเลย เพราะเนื้อหาเข้าถึงคนฟังง่าย จังหวะสนุก เพลง นี้ใช้เพื่อปลอบใจเพื่อนให้หายเศร้าเร็ว ๆ ไม่ว่าจะเรื่อง งาน ความรัก การเรียน ครับ”
อัพเดทชีวิตของ “โอ๊ต-ปราโมทย์” ให้ฟังหน่อยว่าทำอะไรนอกเหนือจากนี้บ้าง?
“ผมยังคงมีงานที่แน่นมากครับ บางเดือนทำงานถึง 31 วันเลย เป็นแบบนี้มา 2 ปีแล้ว สนุกและมีความสุขดีนะ มันลงตัวเพราะชีวิตเราไม่มีอะไรเลยนอกจากงาน ด้วยความที่เป็นโสดด้วยเลยไม่ต้องแบ่งเวลาไปให้เรื่องอื่น เพราะตอนนี้นอกจากงานเพลงแล้วผมยังตั้งบริษัทของตัวเองที่ชื่อ “บริษัท โคตรคูล” ทำรายการลงโซเชียลมีเดีย ตอนนี้มี 6 รายการทางยูทูบ อาทิ คนหน้าหมี, วันละม้วน, จีบหนูหน่อยหนูอ่อยไม่เป็น, หมีพาซิ่ง, แม่แยมเอง, VLOGนะเด็กโง่ แล้วก็รายการที่ทำร่วมกับคนอื่นอย่าง “เดอะ ไดร์ฟเวอร์” พิธีกร “จันทร์ช็อกโลก” งานเยอะจนเวียนหัวเหมือนกันแต่ก็สนุกและรู้สึกเลยนะว่าโตขึ้นเยอะ”
จากศิลปินที่ไม่ดังงานแทบจะไม่มี มาวันนี้งาน ชื่อเสียง เข้ามา คุณเรียนรู้อะไรจากสิ่งเหล่านี้บ้าง?
“ตอนไม่มีงานเราเหนื่อยใจ แต่ตอนนี้เหนื่อยแต่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เป็นเจ้านายคนแล้วต้องรับผิดชอบ เรียกว่าเป็นช่วงวัยที่เติบโตอย่างแท้จริง งานแน่นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทำผมแก่ขึ้น 10 ปี เลยนะ(หัวเราะ) โชคดีเราอยู่ในครอบครัวที่ทำธุรกิจส่วนตัวเรียนรู้จากคุณแม่และพี่ชายเรื่องการบริหารคน ผมจะแคร์ลูกน้องมาก เราเอาความสนุกและความสุขในบริษัทเป็นที่ตั้ง เพราะถ้าลูกน้องเรามีความสุขมันจะออกมาจากชิ้นงานที่ทำแน่นอนครับ เวลาบริหารผมดุนะ แต่ไม่หยาบคาย ดุชิ้นงาน เช่น ออนแอร์ไม่ตรงเวลา ตัดต่อไม่ดี เห็นผมเป็นอย่างนี้จริง ๆ เป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบในการทำงานมาก”
แต่ขณะเดียวกันความดังมีชื่อเสียงก็มาพร้อมดราม่าปัญหามากมายเหมือนกัน?
“ใช่ครับ ด้วยความเป็นคนแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากเลยบั่นทอนง่ายถามว่าตอนเกิดเรื่องต่าง ๆ ขึ้นผมก็เสียใจ แต่พอหันกลับไปมอง เพราะเราเป็นคนในวงการบันเทิงยิ่งเป็นที่สนใจของคนอื่น ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก็เป็นเรื่องที่คนอื่นสนใจโดยปริยาย สิ่งที่ตามมาก็คือชื่อเสียงเงินทอง ผมมองอย่างเข้าใจ โชคดีผมมีเพื่อนในวงการที่เข้าใจ มีแต่คนรักเราเลยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปด้วยดี”
โอ๊ตเองได้เจอคำด่าทอจากคนไม่รู้จัก การบูลลี่ต่าง ๆ รับมือกับสิ่งเหล่านี้ยังไง?
“อย่างที่ทราบว่าข่าวผมมีแต่แรง ๆ จนไม่ออกไปเดินห้าง เพราะกลัวสายตาคน อื่นไม่กล้าสบตา ผมไม่รู้เขาเกลียดหรือคิดอะไรไม่รู้ว่าเขาจะใช่คนที่มาพิมพ์ด่าเราไหม หนักจนผมพบจิตแพทย์ หมอยกตัวอย่างว่า“เวลาเราขับรถ ทุกคนจะหยาบคายทันทีเมื่อคนแซง ปาดหน้า หรือชนกระจก เราก็สบถด่าในรถ โดยที่บางคนพื้นฐานไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะมีรถกั้นเราให้กล้าด่า โซเชียลมีเดียก็คือตัวกั้นเราให้กล้าพิมพ์ด่าคนอื่นได้นั่นเอง” ซึ่งฟังแล้วเข้าใจ คนอาจจะเห็นผมใช้คำหยาบในรายการหรืออะไรก็ตาม แต่ผมไม่เคยบูลลี่คนอื่น สมัยนี้คนพิมพ์ด่ากันเยอะไปหมด วันนี้ด่าผม พรุ่งนี้มาพูดดีกับผม ทั้งร่างอวตาร แอคหลุม อยากบอกคนที่ชอบบูลลี่คนอื่น ต้องลองสำรวจตัวเองก่อนว่าดีพอขัดเกลาคนอื่นหรือยัง อย่าทำตัวเป็นกระดาษทราย ที่เอาความคิดความรู้สึกตัวเองไปตัดสินคนอื่น ควรมีเหตุและผล ไม่ใช่ด่าทอคนที่เราไม่รู้จักเขาดีพอด้วยคำหยาบคายครับ”
ทุกวันนี้เข้มแข็งแค่ไหน หากมีคลื่นปัญหาเข้ามากระทบอีก?
“ล่าสุดข่าว พี่ป็อบ-ปองกูล ผมก็โดนโยงไปเกี่ยวด้วย ตื่นมามีชื่อติดเทรนด์ทวิตเตอร์ เอ๊ะ! เพลงยังไม่ปล่อยเลยใครคิดถึงเรานะ กดเข้าไปอ่าน โอ้โห! กฐินเต็มหน้าบ้านผมเลย คือผมไม่โต้ตอบ แต่ผมไม่ชอบคนเหยียด เพราะผมเป็นคนไม่เหยียดคนอื่น แฟนคลับผมจะรูปร่างหน้าตายังไงผมไม่เคยรังเกียจให้ความรักเท่าเทียม ผมไม่ชอบคนเอารูปผมไปแปะเทียบคนอื่นที่ดูดีกว่าเรา โมโหนะแต่ก็ช่างมันเป็นแบบนี้ทั่วโลกแหละ ต้องพร้อมรับแรงกระแทกเสมอเพราะเราเลือก สละชีวิตส่วนตัวเพื่ออยู่ตรงนี้ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ แต่เรารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ สิ่งดี ๆ ที่เราทำไม่ได้แสดงออกให้คนอื่นเห็นวันหนึ่งอาจจะปรากฏให้คนเห็นเอง รวมทั้งพยายามคิดดี ทำดี พูดดี ไม่ทำคนอื่นเดือดร้อนพอ รวมทั้งตั้งปณิธานไว้จะทำบุญทุกปี อย่างปีที่แล้วทำ “เพื่อนหายเพราะถ่ายฟรี” ให้คนมาถ่ายรูป ประมูลของเอาเงินไปทำบุญ ล่าสุดเพิ่งเซ็นยอมรับให้มูลนิธิโสด เอาคาแรกเตอร์เราไปทำสติกเกอร์เพื่อทำบุญ งานบุญต่าง ๆ ที่ติดต่อมา ถ้าผมว่างจะไม่ปฏิเสธ วันนี้เราได้มาเยอะแล้วก็ตอบแทนสังคมบ้าง”
เรื่องหัวใจล่ะที่ตอนนี้ โสด มุมมองความรักเปลี่ยนไหม?
“ก็พยายามเริ่มใหม่หาคนคุยนะ แต่ก็โดนเท คนจะคิดว่าผมมีความรักง่าย ๆ ไม่จริงเลย ด้วยบุคลิกที่เราตลกกะล่อน ดูเจ้าชู้ ข่าวที่ออกไปอีก เวลางานก็แน่นมากจะเอาเวลาที่ไหนไปให้ใคร รอวันที่เจอคนที่เข้าใจ เราจริง ๆ เราอายุ 34 ปี แล้วมั่นคงในงาน แต่คนที่เข้ามาต้องการอะไรจากเราอีกไม่รู้ อยากมีความรักนะเพราะเหงาเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมคงเหมาะที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าครับ แต่ถ้ามีคนเข้ามาผมไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย ขอแค่จริงใจ รับในแบบที่เราเป็นได้ก็พอ”
สุดท้ายฝากอะไรถึงคนที่รักและติดตามเราจนถึงวันนี้?
“ผมโชคดีที่ได้ทำงานที่รักและเป็นตัวเอง ความรักที่ได้จากแฟนคลับยังเหมือนเดิม ทุกครั้งก่อนจัดรายการ “จันทร์ช็อกโลก” ผมจะมาถึงตึกแกรมมี่ก่อน 1 ชั่วโมง เพื่อลงไปถ่ายรูปกับแฟนคลับให้เวลาเต็ม ๆ หิ้วขนมกลับขึ้นไปแบ่งทีมงาน อบอุ่นเสมอ เวลาอยู่กับแฟนคลับดูแลน้อง ๆ เหมือนเราเป็นพ่อคนนึงเลยแหละ ขอบคุณทุกคนที่รักกันนะครับ จะทำหน้าที่เป็นกรรมกรด้านความสุขแบบนี้ตลอดไปเนอะ(ยิ้ม)”
จากการพูดคุยกับ “โอ๊ต-ปราโมทย์” ในวันนี้มีหลากหลายแง่มุมความคิดที่สามารถนำไปขบคิดกันต่อเพื่อพัฒนาปรับปรุงตัวเองในการใช้ชีวิตร่วมกับโลกโซเชียลมีเดียได้หลายเรื่องทีเดียว สุดท้ายฝากแฟน ๆ ให้กำลังใจหนุ่มคนนี้ในทุกโอกาสต่อไปด้วยนะคะ.
......................................................
“ฮันนี่บี”