"เฟิร์น-นพจิรา" ฝีมือการแสดงชวนให้ตกหลุมรัก
บันเทิง
ในละคร “หัวใจศิลา” ทางช่องวัน 31 นอกจากโดนพระเอกหนุ่ม “ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร” ในบท “ศิลา” คว้าหัวใจไปไม่พอ แต่นางเอกสาว “เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล” วัย 24 ปี ในบท “มินตรา” ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์และฝีมือการแสดงจนคว้าหัวใจแฟนละครเช่นกัน วันนี้ “ดาวต่างมุม” จึงคว้าตัวสาวเฟิร์นมาพูดคุยเส้นทางในวงการบันเทิงตั้งแต่จุดเริ่มต้น จากการร่วมโครงการรักฝุ่นตลบ Casting Project มีผลงานการแสดง อาทิ รักฝุ่นตลบ, ดอกแก้วกาหลง, ทานตะวันจันทร์วาด, เนตรนาคิน จนถึงละคร “หัวใจศิลา” ที่เฟิร์นแจ้งเกิดเต็มตัว ซึ่งเธอบอกว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องพยายามสุดฝีมือเพื่อแคสติ้งให้ได้บท “มินตรา” ที่หนุ่ม “ต่อ-ธนภพ” มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกนางเอกอีกด้วย ละครเรื่องนี้จึงกลายเป็นละครที่ชี้ชะตาการทำงานในฐานะนักแสดงของเธอว่าจะก้าวเดินต่อไปในทิศทางไหน ติดตามเรื่องราวของสาวเก่งคนนี้ต่อในบทสัมภาษณ์เลยนะคะ
กระแสตอบรับจากละคร “หัวใจศิลา” ดีมาก ๆ รู้สึกยังไงบ้าง?
“เฟิร์นดีใจมากนะคะ คือมันเกินความคาดหวัง กระแสตอบรับดีมาก คุ้มค่าที่ทุ่มเทให้กับอาชีพนักแสดงที่คนอาจมองว่าง่าย ซึ่งที่จริงต้องแลกอะไรมาเยอะมากในการอยู่ตรงนี้ เราต้องรักตัวเองทุกวัน ต้องรับผิดชอบตัวเอง ทั้งข้างนอกและข้างในที่ต้องตั้งใจแสดงละครพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น หนูพยายามตลอดจนถึงวันนี้ ยิ่งมาได้เล่น “หัวใจศิลา” เราหน้าใหม่ความคาดหวังสูงมาก รอดคือรอดไม่รอดคือพัง ทุกวันนี้กระแสวิจารณ์ไว เฟิร์นโดนตั้งแต่ช่องปล่อยภาพฟิตติ้งก็มีคนบอกว่าออร่าไม่ได้เลย คืออยู่กับความกดดันเยอะ จนเฟิร์นบอกตัวเองจะทำให้คำพูดที่เคยสบประมาทเราออกไปให้หมด ให้คุณต้องรู้ทำไม “พี่ต่อ-ธนภพ” ถึงเลือกเรามาเล่น ทำไมละครเรื่องนี้ถึงต้องเป็นเรา”
เฟิร์นย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางในวงการบันเทิง?
“สมัยเรียนปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ ก็จริงแต่เฟิร์นชอบทำกิจกรรม ตอนปี 3 ก็ลองประกวดเวทีของมหาวิทยาลัย ก็มีคณะกรรมการขอเบอร์ติดต่อไว้ จากนั้นเขาส่งลิงก์สมัครโครงการ “รักฝุ่นตลบ” ของช่องวัน ที่หานักแสดงหน้าใหม่ แต่ใจเราชอบงานดีเจ พิธีกร จนวันสุดท้ายมาคิดอีกทีลองก็ไม่เสียหายไม่เคยเรียนการแสดง ร้องเพลง เต้นเลย ทุกอย่างเกิดจากเราเลือกเอง จนเราแคสติ้งผ่านได้เล่นซีรีส์ แรก ๆ ทำไปแบบนั้นไม่มีแพชชั่นอะไร จนวันหนึ่งถ่ายละครเสร็จรู้สึกจิตใจคนเราแปลกมาก อยู่ ๆ ก็เชื่ออะไรที่ไม่มีอยู่จริง เช่น ที่เฟิร์นร้องไห้เพราะเชื่อว่าคนตรงหน้าเรากำลังจะจากไป ตอนเล่นไม่รู้สึกว่าถูกกล้องถ่าย รู้สึกแค่คนตรงหน้าว่าเขาจะไปจริง ๆ จิตวิญญาณนักแสดงของหนูน่าจะมาตอนนั้น หลังจากนั้นก็ไปเรียนการแสดงจริงจังบอกตัวเองจะเอาคำว่า “นักแสดงเป็นอาชีพ” เพราะตกหลุมรักมันจริง ๆ ค่ะ (ยิ้ม)”
จนได้มารับบท “มินตรา” เห็นว่าเรื่องนี้ชี้ชะตาด้านการแสดงของเฟิร์นเลย?
“ใช่ค่ะ หนูอยู่วงการมาสักพักแล้ว แต่เล่นละครมาถือว่ากลาง ๆ ไม่ได้มีกระแสอะไร ก็แอบคิดว่าเส้นทางนี้จะยังไงต่อ จนผู้ใหญ่ให้เราเตรียมตัวไปแคสติ้งบทในหัวใจศิลา บทนี้ถ้าได้จะได้เล่นกับ “พี่ต่อ-ธนภพ” ที่เป็นนักแสดงที่เราชื่นชอบผลงานซีรีส์ “Side By Side พี่น้องลูกขนไก่” เขาเล่นดีมาก วันหนึ่งเราอยากเป็นที่พูดถึงในฐานะนักแสดงแบบพี่เขาบ้าง หรืออย่างน้อยมีโอกาสเจอในฐานะคนทำงานเหมือนกันก็ดีใจแล้ว จากนั้นเฟิร์นเตรียมตัวเต็มที่ จนวันแคสติ้งเฟิร์นบอกตัวเองว่า “บทนี้ต้องเป็นหนู” จะทำเต็มที่ไม่ให้เสียใจ เรื่องนี้กดดันที่สุดเพราะชี้อนาคตการแสดงของหนูว่าจะได้ทำงานตรงนี้ต่อในฐานะอะไร หนูเลยใช้พลังทั้งหมด คือต้องได้เล่นเรื่องนี้ “มินตราคือเรา เราคือมินตรา” คิดแบบนี้เลย ซึ่งพี่ต่อมาแคสติ้งด้วยตัวเอง สาว ๆ ที่มาแคสติ้งด้วย สวย หุ่นดี เก่ง ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้แน่ ๆ จากนั้นเข้าไปแคสติ้งกับพี่ต่อ เขาอ่านบทสั้น ๆ ตรงนั้น พอนับ 5 4 3 2 พี่เขากลายเป็น “ศิลา” เลย สาดพลังใส่หนักมาก เราก็เลยอยากเล่นจริงกลับไปเช่นกัน ไม่รู้หรอกจะได้บทนี้ไหมแต่เต็มที่ สุดท้ายเราได้รับโอกาส ดีใจ มาก ๆ จากนั้นหาโค้ชแอ๊คติ้งส่วนตัวเลย ว่าเราจะพรีเซ็นต์ “มินตรา” ในแบบเรายังไง อยากได้ตัวละครที่ชัดเพื่อสวมบทเข้าไป คนที่เคยดูหรืออ่านนิยายจะบอกนางเอกน่ารำคาญ ความยากอยู่ตรงนี้ เล่นยังไงไม่ให้น่ารำคาญ เช่น เวลานางเอกเป็นฝ่ายเข้าหาพระเอก มันจะเกิดคำถามว่าไปยุ่งกับเขาทำไมเสมอ ฉะนั้นจะยากที่จูนให้อยู่ในเส้นที่รับได้ โดย “มินตรา” มีปูมหลังครอบครัวที่เหลือเชื่อว่าชีวิตจะมีแบบนี้เหรอ หนูบอกได้เลยว่ามีนะคะกับครอบครัวเป็นแบบนี้แล้วมีเด็กที่ต้องทนอยู่แบบนั้นไม่สามารถมีปากเสียงได้มีจริงต้องทนกับแม่เลี้ยงและพี่สาวคนละแม่”
การทำงานกับ “ต่อ-ธนภพ” ที่ชื่นชอบผลงานมาก่อนเป็นยังไงบ้าง?
“โอ้โห พี่ต่อคือสุดจริง ๆ เขามีส่วนที่ทำให้หนูมีพลังในการแสดงที่ดีขนาดนี้ พอเจอคนส่งแรงเราก็ส่งพลังกลับแรงเหมือนกัน ต้องยอมรับว่าพี่เขาน่ารักมากจริง ๆ หมายถึงทำให้เราไม่รู้สึกว่าเขาคือ “ต่อ-ธนภพ” พี่เขาละลายพฤติกรรม พูดคุย ถามชีวิต เข้าวงการยังไง คุยด้วยความสบาย พอเข้าฉากความกดดัน ตื่นเต้นก็หายไป ยิ่งตัวละครของเราสองคนเหมือนเป็นพาร์ทเนอร์ยิ่งต้องจูนกัน มีบ้างที่หนูไม่เสถียร เล่นไม่ได้แต่โชคดีเราคุยแล้วปรับกัน ปัจจัยภายนอกรบกวนสมาธิเรายากตรงที่ไดนามิกของอารมณ์มีบ่อยทั้งกุ๊กกิ๊ก ดราม่า บทของหนูซีนนึง 3-4 หน้า ถ่ายลองเทคให้อารมณ์ต่อเนื่องนี่คือความยาก แต่สนุกและท้าทายว่าเราต้องเป็นคนเก่งขึ้นในทุก ๆ วัน ให้ได้ด้วยค่ะ”
ที่แฟนคลับฟินคือมีเลิฟซีนไม่ธรรมดาเหมือนกัน?
“(หัวเราะ) เรื่องแรกเลยที่เลิฟซีนเยอะขนาดนี้ เขินมาก เวลาซ้อมหนูจะเขิน แต่พอเริ่มถ่ายก็สวมวิญญาณตัวละครเลย เราโฟกัสว่าทำงาน ไม่ได้ไปโฟกัสว่าจะเลิฟซีนใคร พระนางดราม่า ตีกันตลอด บางทียังคุยกับพี่ต่อพระนางทะเลาะกันตลอดขนาดนี้เขายังจิ้นเรานะ เวลาเราอ่านเจอฉากกุ๊กกิ๊กรู้เลยแฟนละครต้องชอบแน่ พี่ต่อพูดว่าถ้าตัวละครมันชัด เวลามาเจอกันจะเกิดเมจิกโมเมนต์ ขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ตั้งใจ เคมีคู่จิ้นเกิดขึ้นเองไม่ได้ ดีใจที่เป็นอย่างที่พี่ต่อบอก ขอบคุณที่เขาเป็นพาร์ทเนอร์ทำงานที่ดีช่วยเราทุกอย่างค่ะ”
ผู้ชมจะได้แง่คิดอะไรจากละครเรื่องนี้?
“ตัวละครที่มีสติน้อยที่สุดคือ “ศิลา” ผู้แบกความแค้น ความทุกข์ จากคนอื่นกระทำ ความรุนแรงที่ผู้ใหญ่ทำกับเด็ก ปัญหาเหล่านี้มีอยู่จริงในสังคม สะท้อนปัญหาการมีบ้านเล็กบ้านน้อย ตัวละครมีครบสีขาวดำ เหมือนมนุษย์เช่นกัน สำหรับเฟิร์นมองว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตให้ดีขึ้นไป หาทางแก้ไขสิ่งแย่ ๆ เพื่อจะมีความสุขต่อไป แง่คิดเรื่องการให้อภัย การยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น และปล่อยวาง ตัวนางเอกมีปัญหาชีวิตตลอดนะ แต่มินตราไม่เอามาบั่นทอนชีวิตทำงาน สร้างตัว ดูแลครอบครัว เพื่อก้าวออกมามีชีวิตของตัวเองได้ อยากให้ติดตามไปถึงตอนจบจะได้รู้บทสรุปกันนะคะ”
วันนี้เฟิร์นมีแฟนคลับรักและชื่นชอบเยอะขึ้นมากรู้สึกยังไง?
“แฟน ๆ ชอบเรียกหนูในทวิตเตอร์ว่า “จิ๋ว” เพราะหนูตัวเล็กห่างจากพระเอกมาก (หัวเราะ) ซึ่งจิ๋วคนนี้ดีใจนะคะที่มีคนรักเรา พลังตรงนี้จะเก็บอยู่ในใจเสมอ แต่ก่อนจะมีคนรักก็ผ่านอะไรมาเยอะนะ (ยิ้ม) หนูชอบอ่านคำวิจารณ์เพื่อพัฒนาตัวเองได้ ก่อนละครออนแอร์โดนวิจารณ์ในทางไม่ดีบ่อยจนเกิดคำถามขึ้นมากมาย เขาไม่รู้กว่าจะได้เล่นบท “มินตรา” เฟิร์นพยายามขนาดไหน สุดท้ายได้คำตอบว่าเราจะสนใจคำพูดนั้นทำไม พิสูจน์ตัวเองสุดท้ายกระทู้บอกว่าออร่านางเอกไม่ได้ ก็บอกว่าชอบการแสดงของหนู คือแค่เขาเปิดใจดูละครก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งบอกว่าชอบเราและขอติดตาม ยิ่งอยากพิสูจน์ตัวเองต่อไปไม่ให้เขาผิดหวัง เข้าใจคำสอนของครูสอนการแสดงที่บอกว่า “นักแสดงมีหน้าที่เป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นผู้รับ เพราะหน้าที่เราคือแสดงออกให้ความสุขกับคนดู” ดีใจที่มี “ด้อม” (ย่อมาจากคิงส์ด้อม คำเปรียบเทียบกลุ่มแฟนคลับที่ชื่นชอบ) ของตัวเองกับเขาด้วยวันนี้ค่ะ (ยิ้ม)”
หลายปีในวงการบันเทิง เฟิร์นเรียนรู้อะไรแง่มุมไหนบ้าง?
“หนูโตขึ้นมาก ทำอะไรก็ตามเราต้องมีสติเสมอ ไม่หลงระเริงกับสิ่งที่ได้มา ซึ่งสิ่งรอบตัวในอาชีพนี้เอื้อให้เราเกเรได้หมด แต่สิ่งที่ได้แน่ ๆ คือความอดทน พยายาม สู้ ไม่ยอมแพ้ รวมทั้งความยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไป เรียกง่าย ๆ ว่ามองอย่างเข้าใจ เพราะอย่างที่บอกเล่นละครแรก ๆ ไม่ได้ดังเปรี้ยง อยู่แบบขึ้นปริ่ม ๆ ไม่รู้จะไปทางไหน อาชีพนักแสดงเหมือนเราตั้งใจปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง บางครั้งต้องเจอพายุ เจอแดด อุปสรรค แต่สิ่งที่ทำให้ต้นไม้เราประคองตัวอยู่ได้ เพราะเราหวังว่าต้นไม้ที่ลงแรงปลูกไปจะเติบโตเป็นต้นไม้ที่มีรากอันแข็งแรงได้ดี เหมือนการเป็นนักแสดงของเรานั่นเองค่ะ”
ต้นแบบความคิดที่แข็งแรงมาจากไหน?
“เฟิร์นไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ คุณพ่อแต่งงานมีครอบครัวใหม่ แต่เราไม่เคยมองว่ามันคือปัญหา หรือเป็นข้ออ้างให้เลือกเดินทางที่ไม่ดี มีคุณพ่อที่คอยสอนเรื่องการหาโอกาสให้ตัวเอง อดทน ตั้งแต่เด็กเราเรียนสาย คณิต-วิทย์ จน ม.ปลาย เลือกสายอาชีพสอบเข้าเตรียมวิศวะพระนครเหนือ พอเข้าวงการบันเทิงก็ต้องพิสูจน์กับที่บ้านเห็นว่างานตรงนี้ดียังไง จนพ่อภูมิใจ ก็เลือกเรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาฯ เพื่อให้มั่นใจอีกว่าเรามั่นคง รวมทั้งเฟิร์นโชคดีมีคนดูแลที่ดีอย่าง “พี่แด๊ด” ผู้จัดการ ที่สอนเราเหมือนลูก คนเราต้องสู้ไปจนกว่าจะเจอทางพอดี ใช้ได้กับทุกอาชีพนะคะ อย่างหนูเป็นนักแสดงที่เหมือนจะง่าย แต่เราจะทำยังไงให้เราเป็นคนที่ถูกเลือกใช้งาน จะไม่ชอบให้ใครเรียกว่าดารา หนูมองว่าตัวเองเป็นพนักงานคนหนึ่งในช่อง อย่าลืมตัวว่าตัวเองมาจากไหน ทำทุกวันนี้เพื่ออะไร ค่อยเป็นค่อยไป ตั้งเป้าหมายอยากได้รางวัลด้านการแสดง แล้วอยากเป็นอาสาสมัครทำอะไรเพื่อสังคม หนูมีเพื่อนโยธาเยอะ อยากไปสร้างโรงเรียนในชนบท ถ้าวันนึงมีเสียงพอที่จะระดมเงินทุนและคน ก็อยากทำให้ได้ค่ะ”
เรื่องความรักเป็นยังไงบ้างมีคนพูดคุยอยู่หรือเปล่า?
“หนูเป็นคนเชื่อและศรัทธาในความรักซึ่งเป็นพลังงานดี ๆ แต่ไม่จำเป็นว่าเกิดเฉพาะรูปแบบชายหญิง แต่เกิดจากเพื่อน คนรอบข้าง ครอบครัว เฟิร์นโชคดีที่มีเพื่อนดี ๆ รายล้อม ตอนนี้หนูแค่ทำงานและมีเพื่อนที่ดีไปด้วยกันมากกว่า เขาก็เป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจให้คำปรึกษาก็ดี ก็คือคนนอกวงการ ซึ่งก็ดีที่ไม่ต้องมีคนสนใจว่าเราคบใคร เฟิร์นอยากให้สนใจว่าเราเป็นนักแสดงที่มีผลงานอะไรมากกว่าแฟนเป็นใคร ไม่อยากเน้นในมุมนั้นแต่ใช้ชีวิตปกติ ไม่เครียด ต้องรักษาสมดุลชีวิตให้ดีทั้งกายและใจค่ะ”
สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟนคลับที่รักและติดตามเราตอนนี้หน่อย?
“ขอบคุณผู้ชมทุกท่านที่รักละคร “หัวใจศิลา” ทุกวันจันทร์และอังคาร เวลา 21.20 น. ช่องวัน 31 ทีมงานทุกคนตั้งใจมาก หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับละครเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับกำลังใจดี ๆ ที่มอบให้นักแสดง ทีมงาน รวมทั้งผู้ใหญ่ที่มอบโอกาสนี้ให้ อยากให้ติดตามจนจบไม่ผิดหวังแน่นอน ส่วนแฟนคลับที่ติดตามกันมา ขอบคุณความรัก ความหวังดี ที่ให้กันมาเสมอนะคะ ดีใจที่เขารักเราที่เราเป็นแบบนี้ หวังว่าถ้าละครเรื่องนี้จบไปก็ยังติดตามผลงานอื่น ๆ ของเฟิร์นกันอยู่ เฟิร์นโชคดีที่ได้มาอยู่ตรงนี้ก็จะรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุดค่ะ”
จากการพูดคุยกับ “เฟิร์น-นพจิรา” ในวันนี้ เราสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจในการเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ ฝากแฟน ๆ เป็นกำลังใจให้สาวเก่งคนนี้ในโอกาสต่อไปข้างหน้าด้วยนะคะ.
...................................................
ขอบคุณเสื้อผ้าจาก : SIRIVANNAVARI
อรุณรัตน์ เศรษฐพูธ์ : เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ : ภาพ