ยืนหนึ่งแบบ "ชมพู่-อารยา" เปิดมุมมองความสำเร็จที่คิดต่าง
บันเทิง
เตรียมกลับมาสร้างปรากฏการณ์ เฉิดฉายบนพรมแดงเทศกาลหนังเมืองคานส์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 สำหรับ ซุป’ตาร์ตัวแม่ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่คงต้องบอก ว่ากว่าจะเป็นภาพสวยงามอย่างที่ทุกคนเห็นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สัปดาห์นี้ “ดาวต่างมุม” มีโอกาสได้พูดคุยกับชมพู่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ถึงเบื้องหลังการทำงาน บทบาทของการเป็นคุณแม่ของลูกชายฝาแฝด “สายฟ้า-พายุ” รวมไปถึงมุมมองการใช้ชีวิตของผู้หญิงคนนี้แบบเจาะลึก
ความพร้อมสำหรับการเดินพรมแดงปีนี้?
“ถ้าทางด้านจิตใจชมพร้อมนะคะ คือ การไปคานส์แต่ละปีมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงตลอด ไปถึงหน้างานก็ยังมีอะไรให้แก้ ส่วนมากชมจะเครียดจนถึงวันเดินทาง แต่หลังจากนั้นจะไม่สนใจอะไรแล้ว จะทำอารมณ์ให้มีแต่พลังงานบวก เราทำในส่วนของเราไป เช่น ออกกำลังกาย ช่วงโค้งสุดท้ายอาจจะควบคุมเรื่องอาหารการกิน จริง ๆ ชมคุยกับทีมงานและที่บ้าน ว่าเราจะเริ่มทำงานตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จะได้ไม่หักโหมมาก เพราะฉะนั้นถ้าเรื่องร่างกายเราค่อนข้างที่จะมั่นใจ แต่ชมก็ยังมีเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งค่อนข้างจะผิดวิสัยของชม แต่ทริปนี้ก็มีเหตุผลเลยต้องไปค่ะ”
ปีนี้มีอะไรพิเศษบ้าง?
“สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าไปอีกแล้ว เดิม ๆ หรือเปล่า แต่ส่วนตัวเรา ตรงนี้ คือ เหตุการณ์สำคัญในชีวิต เป็นอะไรที่มีความหมายกับชีวิตชมนะ เป็นช่วงเวลาที่ใกล้วันแต่งงานด้วย เราจะได้ย้อนกลับไปเตือนความทรงจำว่าในทุก ๆ ปี เราทำอะไรมาบ้าง และปีนี้มีอะไรใหม่ สำหรับปีนี้คงเป็นภาพครอบครัวที่ชัดเจนขึ้น ปีที่แล้วเราไปในโหมดแม่ลูกอ่อน ก่อนหน้านั้นเราท้อง และเพิ่งแต่งงาน อาจจะเป็นสถานที่เดิม แต่เราได้เห็นอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ได้เข้าใจสัจธรรม เห็นตัวเราเอง เห็นคนอื่น เห็นคนที่เคยมาแล้วจากไป เห็นคนใหม่ที่เข้ามา ชมว่าตรงนี้เหมือนเป็นโรงเรียนนะ”
ครั้งนี้ไปทั้งหมดกี่วัน เตรียมไปกี่ลุค?
“ทั้งหมด 4 วันค่ะ ที่เกี่ยวข้องกับอีเวนต์ คือ 14-16 พ.ค. รวมทั้งพาร์ทของโชพาร์ด (Chopard) และพาร์ทของ ลอรีอัล ด้วย จริง ๆ กับโชพาร์ดเรามีสัมพันธภาพที่ดีกับทางแบรนด์มาระยะหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมาทางแบรนด์สนับสนุนลุคของเราบนพรมแดง และเรามีโอกาสไปร่วมงานอีเวนต์ต่าง ๆ เลยลองคุยเป็นโปรเจคท์ยาว ๆ ต่อไปนี้ก็จะมีการร่วมงานกันต่อเนื่อง และเป็นทางการกว่าที่ผ่านมา”
รู้สึกยังไงบ้างที่แบรนด์เพชรระดับโลกอย่างโชพาร์ด เลือกเราเป็น เฟรนด์ ออฟ โชพาร์ด (Friend of Chopard)?
“ดีใจและเป็นเรื่องที่เกินคาดนะคะ ต้องยอมรับว่าเราตัวเล็กมาก ถ้าเทียบกับคนที่อยู่ในตลาดโลก หรือคนอื่น ๆ ที่เขาเซ็นสัญญากับแบรนด์ ชมคงต้องขอบคุณพาร์ทเนอร์ทุก ๆ คน ก่อนอื่นคงเป็น ลอรีอัล ที่พาเราไปเปิดตลาดตรงนั้น และพาร์ทเนอร์ของชมอย่าง คุณอาลี ซีอานี ก็มีส่วนช่วยผลักดัน ชมกับอารีเป็นหุ้นส่วนกัน แต่เขาก็ทำอะไรให้เราในฐานะเพื่อน เกื้อกูลกันในหลาย ๆ เรื่อง คนอาจจะมองว่าสิ่งสำคัญในการได้สิ่งดี ๆ ได้งานดี ๆ คือการวิ่งเข้าหาโอกาส เรื่องของการเข้าหาคน แต่ในกรณีของชมสิ่งที่เราพิสูจน์แล้ว คือ การที่ชมไม่มองข้ามอะไรเลย แม้แต่โอกาสหรือสิ่งเล็ก ๆ ที่เข้ามา และพอเราได้โอกาสนั้นแล้ว เราจะทำยังไงให้งานของเรามีคุณค่า คนอาจจะมองแค่ว่าเป็นแค่เรื่องสวย ๆ เรื่องแฟชั่น แต่เบื้องหลังมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องคิด ฉะนั้นชมคิดว่าที่เขาเลือกเราอาจจะไม่ใช่เพราะชื่อเสียง แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่เรามีโอกาส ทุกครั้งที่ลงเล่น เราพยายามทำคะแนน เราทำเต็มที่ เป็นการซื้อใจเรา ซื้อใจเขา ทุก ๆ อย่างในชีวิตนะ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้”
ขนไปทั้งหมดกี่กระเป๋า?
“ทุก ๆ ปีจะประมาณ 4 กระเป๋า แต่ปีนี้มีครอบครัวด้วย และของเด็กที่ค่อนข้างจุกจิก ก็คงพะรุงพะรังพอสมควรค่ะ (ยิ้ม)”
ปีนี้ สายฟ้า-พายุ ไปด้วย?
“ใช่ค่ะ เป็นภาพที่เราเคยฝันไว้ เราเคยเห็นดาราคนอื่น ๆ พาลูกเขาไป พาครอบครัวเขาไป แต่ปีที่แล้วที่ชมไม่ได้พาไป เพราะเขายังค่อนข้างเล็ก ประมาณ 7 เดือน ไม่เหมือนตอนนี้ถ้าแม่หายไปเขาก็รู้แล้วว่าเราไม่อยู่ เลยอยากจะพาเขาไป อีกหน่อยพอเข้าโรงเรียนแล้วอาจจะไปไหนด้วยกันยากขึ้น”
พัฒนาการของ สายฟ้า-พายุ เป็นอย่างไรบ้าง?
“ชมเลี้ยงเขาแบบไม่ขวาง ไม่ห้าม ให้เขาได้สัมผัส ได้เรียนรู้เอง เพียงแต่ว่าเราจะเหนื่อยเฝ้า แต่ถ้าคุณยายมาอาจจะมีการจำกัดพื้นที่เขา ไปให้ปีนป่าย ตามประสาคนแก่ ซึ่งชมเชื่อว่าเป็นทุกบ้าน คนเจเนอเรชั่นเรากับคนรุ่นแม่ก็จะอีกแบบหนึ่ง เราก็ต้องทำความเข้าใจกับพี่เลี้ยงว่าให้ปล่อย แต่ต้องดูอยู่ตลอดไม่ให้คลาดสายตา”
หลายคนชอบการเลี้ยงลูกของชมพู่ ดูง่าย ๆ ไม่เป็นไปตามสเต็ปลูกดารา?
“จริง ๆ ตอนท้อง เรามีภาพในหัวว่าจะให้ลูกทำแบบนี้ ๆ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ บางอย่างที่คิดว่าสวยงามก็ไม่เท่าการเรียนรู้จริง อย่างเสื้อผ้า ของใช้ ก่อนจะมีลูก ชมนั่งหาข้อมูล ซื้อรุ่นคิดว่าดีที่สุด เก๋ที่สุด แต่พี่เลี้ยงไม่ใช้ บอกว่าน้องพี่ชอบอันนี้ (หัวเราะ) อย่างช่วงหลัง ๆ ชมแทบจะไม่ซื้อของเล่นให้ลูกเลยนะ ส่วนมากจะมีคนซื้อมาให้ ของเล่นที่ชมซื้อให้เขาจะเป็นลูกบอล ไม้แบด ไม้ปิงปอง พอเราอยู่กับเขาไปเรื่อย ๆ จะรู้ว่าเขาชอบอะไร พายุจะชอบอะไรก็ได้ที่เป็นไม้ยาว ๆ ไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเล่นกอล์ฟหรือเปล่า ส่วนสายฟ้าเขาชอบบอล อีกอย่างหนึ่งด้วยวัยและพัฒนาการเขาตอนนี้ซื้อเลโก้ให้ก็ไม่ต่อ คงเอามาโยน”
สายฟ้า-พายุ กำลังจะไปโรงเรียนแล้วด้วยใช่ไหม?
“ส.ค. นี้ ไปโรงเรียนแล้วค่ะ แต่ดูแววแล้วน่าจะชอบนะ เพราะเราให้เขาอยู่กับคนอื่นตั้งแต่เล็ก เลยคิดว่าเขาไม่มีปัญหาเรื่องการอยู่กับคน ชมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก เรารู้ตัว แต่พอมองย้อนกลับไปเราก็รู้ว่าเราโตมายังไง เราเป็นลูกคนเดียว และคุณแม่กับคุณพ่อก็ค่อนข้างโลกส่วนตัวสูง เราโตมาแบบนี้ เราไม่ได้ว่าพ่อแม่นะคะ คือ ชมเพิ่งจะเปิดตัวเองมากขึ้นตอนอายุจะ 30 แล้ว ที่เราพอจะคุยกับคนอื่นได้ ชวนคนอื่นคุยได้ เพราะงานและประสบการณ์สอนเรา เลยเรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้ว การที่เราเข้ากับคนง่าย เป็นคุณสมบัติที่ติดตัวไว้ก็ดี ชมเลยพยายามเลี้ยงลูกให้อยู่ที่ไหนก็ได้”
ใกล้จะสองขวบแล้ว เตรียมรับมือกับช่วง เทริเบิลทู (Terrible Two) ยังไง?
“ชมคิดว่ามาแล้วนะคะ เพราะพัฒนาการเขาไว อย่างที่เห็น คือจะปฏิเสธทุกอย่าง บางทียังไม่ทันพูดอะไรเลย แค่อ้าปาก พายุ ก็ โน โน รู้แต่ว่าไม่ได้ แต่ชมเป็นคนที่จะไม่ตกใจเวลาลูกร้องไห้นะ จะดูไปตามสถานการณ์ เรารู้สึกว่าเรื่องเขาร้องไห้เป็นเรื่องปกติ เพราะเขายังพูดไม่ได้ เป็นการสื่อสารอย่างหนึ่ง เลยปล่อย แล้วก็จะพูดเหตุผลกับเขา เดี๋ยวก็คงค่อย ๆ ซึมซับ”
คาแรกเตอร์เริ่มชัดเจนขึ้นทั้งคู่?
“ชัดเจนขึ้นนะคะ สายฟ้าจะเป็นสายแฟชั่น ชอบแต่งตัว ติดหล่อ อย่างล่าสุดชมไปงานแล้วเขาทำเสื้อคลุมอาบน้ำให้เด็ก ๆ แต่อยู่ที่งานไม่ได้ใส่เลย มัวแต่วิ่งไล่จับกัน พอกลับมาบ้านแล้วรื้อกระเป๋า ก็บอกว่าพี่สายฟ้าลองใส่ดูสิ พอจะถอดเท่านั้นแหละ ร้องไห้ ไม่ยอม เขาคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่มีเสื้อคลุมแบบนี้ ส่วนพายุ ชมว่าตอนนี้เขานิสัยคล้าย ๆ แมวแต่ว่าโตไปอาจจะผิดเพี้ยนนะ คือ เขาจะมีความเป็นตัวเองสูงมาก ถ้าเขาอยากอยู่กับตัวเองจะไม่สนใจใครเลย ใครเรียกก็ไม่หัน ได้ยินก็ไม่หัน จะอยู่ในโลกของเขา แต่ถ้าต้องการใครสักคนก็จะอ้อน ทำเสียงที่น่ารักมาก ๆ ได้ คือ เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่กำลังจัดการอยู่ (หัวเราะ) เพราะชมว่าเขาต้องเริ่มเรียนรู้ว่าบางทีก็ไม่ได้นะ ต้องรู้จักรอบ้าง แต่สายฟ้าด้วยความเป็นพี่ หรือมีอะไรที่ติดตัวเขามา ก็ถือว่าหัวอ่อนกว่า พายุจะมีเซนส์การเอาตัวรอดสูง เลยไม่ค่อยห่วง และเขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นน้อง เขาต้องได้ แต่เดี๋ยวพอมีน้องอีกคนก็รู้เรื่อง (หัวเราะ)”
วางแผนเรื่องมีน้องอีกคนไว้เมื่อไหร่?
“อาจจะต้นปีหน้าค่ะ ไม่เกินไตรมาสแรก หรือ ไตรมาสที่สอง จริง ๆ เราไม่อยากมีให้ห่างกันมาก เป็นแผนเศรษฐกิจแห่งชาติที่วางไว้แล้ว (ยิ้ม) ช่วงที่เรายังมีสติ ไม่ได้ใช้อารมณ์ คือ บางครั้งเราจะมีอารมณ์ว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว พ้นภาวะการเป็นแม่ลูกอ่อนแล้ว เรามีอิสรภาพประมาณนึง อาจจะไม่เท่าสมัยที่เราตัวคนเดียวหรอก แต่ถ้ามีอีกคนก็ต้องเริ่มใหม่ ก็จะไม่ไปคิดตรงนั้น”
อยากมีลูกชายหรือลูกสาว เป็นแฝดอีกหรือเปล่า?
“ชมอยากมีลูกสาวอยู่แล้ว เพราะเรามีตะขาบต้องคาย ของเราก็ต้องส่งต่อ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นแฝดอีกคงไม่ไหวแล้ว จริง ๆ ร่างกายไหวนะคะ ชมว่าการตั้งท้องไม่เท่าไหร่ แต่การเป็นแม่ลูกอ่อนเด็กแฝด ชมว่าโหดนะ เหมือนเราตัดจากโลกภายนอกไปเลย และถ้ามีแฝดอีก คือ 4 คนเลย คือ ถ้ามีอีก 1 คน และ สายฟ้า-พายุยังฤทธิ์ไม่มาก ชมว่าโอเค บางคนก็บอกว่ามีแฝดไปเลยสิ เรามีศักยภาพ เขาอาจจะเห็นว่าเราพร้อม แต่ชมว่าตรงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ไม่ใช่แค่เบ่งเขาออกมาแล้วจบ คือชมไม่ได้คิดว่าเราเป็นแม่ฟูลไทม์ 100 เปอร์เซ็นต์นะ แต่เราก็ให้เวลาลูกประมาณนึง เลยคิดว่าน่าจะคนเดียว แต่ถ้ามาถามใหม่ แล้วสามีบิวต์ค่อยว่ากันอีกที แต่คือเขาซื้อเหตุผลเรานะ เพราะชมบอกว่าเราจะทำได้ไม่ดี ถ้าเราง่วนกับแฝดคู่ใหม่ หมายความว่าเราต้องให้สายฟ้า-พายุ อยู่กับพี่เลี้ยงเลย ซึ่งเราทำใจไม่ได้”
แต่งงานกับคุณน็อตเข้าปีที่ 4 แล้ว เติมเต็มความหวานกันยังไง?
“นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะ 4 ปีแล้ว (หัวเราะ) จริง ๆ เราเป็นคู่ที่ธรรมชาติ เราออร์แกนิกมาก เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่จีบกัน จนอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นคำว่าเติมความหวาน บ้านเราคงไม่มี แต่พอมีลูกแล้ว คงต้องบอกลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจจริง ๆ เราเลี้ยงลูกด้วยกัน อยู่กับลูกด้วยกัน นั่งกินข้าวเช้าด้วยกันทุกวัน ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว วันไหนว่างตรงกันก็ไปทานข้าวนอกบ้าน ขี้เกียจก็ไม่ไป แล้วถ้า เสาร์-อาทิตย์ เขาจะไปเตะบอล ชมก็ไม่เคยพูดว่าทำไมไม่อยู่กับลูกบ้าง เพราะเราอยู่กันแบบเข้าใจ เชื่อใจ และให้เกียรติว่าอีกคนหนึ่งทำอะไรอยู่ เขาเองก็ซัพพอร์ตให้เราเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด อะไรที่ส่งเสริมอาชีพหรือภาพลักษณ์ของเรา เขาก็พร้อมที่จะทำ ส่วนชมก็พร้อมที่จะซัพพอร์ตเขาไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม”
ถ้าให้พูดถึง ชมพู่-อารยา ในวันนี้?
“ชมในวันนี้หรอ (หัวเราะ) มีความสุขดีนะ เป็นตัวเองแบบที่ไม่ได้คิดไว้ แต่ดีกว่าที่คิด (ยิ้ม) เพราะตอนนู้น ที่เรายังอยู่ข้างหลัง เราก็มีภาพของความสำเร็จ ว่าฉันจะไปอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ คิดว่าความสำเร็จเป็นรูปธรรม โอเค ถ้าเรามองทางกายภาพ ชมอาจจะมีสิ่งที่เราเคยฝันไว้ เคยอยากได้ แต่อย่าลืมว่าทำไม บางคนที่อยู่สูงมาก ๆ เขายังไม่มีความสุข ณ วันนี้ ชมอาจจะไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด บนยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่เรามีความมั่นคงทางจิตใจ ซึ่งมาไกลกว่าที่คิด เราไม่สนใจกับสิ่งรอบข้าง แต่มีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถเติมเต็มชีวิตเราได้ และเลือกที่จะตัดบางอย่างออกไป ชีวิตก็มีความสุขดี เพียงแต่ว่าเราไม่ใช่คนที่จะมานั่งพูดว่าขอบคุณมากเลย แต่เราชื่นชมอยู่ในใจ สุขอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง ทำให้พัฒนามาเป็นเวอร์ชั่นนี้ได้”
สุดท้ายอยากให้ชมพู่ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย?
“ชมต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ ตอนนี้ผลงานอาจจะไม่ค่อยมีแล้ว แต่เรารับรู้ได้ว่าคนยังติดตาม และรักลูกเราด้วย ส่วนคานส์ถึงแม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่มีปีละครั้ง ชมก็ยังรู้สึกว่าคนยังตื่นเต้นไปกับเรา และชมอยากขอบคุณมดงานตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหลังทุกคน เพราะชมคิดว่าการไปคานส์แต่ละปีจะเต็มที่และสมบูรณ์แบบไม่ได้ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่ง มีคนที่อยู่ข้างหลังเยอะมาก บางคนเขาไม่ได้เครดิตด้วยซ้ำ ซึ่งชมไม่เคยลืมคนเหล่านั้นเลย”
แหละนี่...คือสิ่งที่ ชมพู่-อารยา ได้พิสูจน์แล้วว่า “การยืนหนึ่งของเธอไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”.
.....................................................
นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง