ข่าว"จ๊ะ-จิตตาภา"กับการเติบโตทุกก้าว ยกชีวิตคู่"เอิน"คือความสำคัญแรก - kachon.com

"จ๊ะ-จิตตาภา"กับการเติบโตทุกก้าว ยกชีวิตคู่"เอิน"คือความสำคัญแรก
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s

กลับมาสวมบทบาท ครูทรายทิพย์ อีกครั้ง สำหรับนางเอกคุณภาพ จ๊ะ-จิตตาภา แจ่มปฐม ในละครน้ำดี ที่สะท้อนปัญหาครอบครัวและวัยรุ่น อย่างวัยแสบสาแหรกขาด 2” ค่าย “มาสเตอร์ วัน” โดยผู้จัดไฟแรง เอิน-ณิธิภัทร์ เอื้อวัฒนสกุล ที่พ่วงตำแหน่งหวานใจของสาวจ๊ะด้วย ล่าสุดดาวต่างมุม เลยไม่รอช้า นัดสาวจ๊ะมาพูดคุยถึงการกลับมาสวมบทบาทครั้งนี้ และมุมมองในวงการ รวมถึงเทคนิคการดูแลความรักกับหนุ่ม “เอิน” ที่ยังคงหวานสม่ำเสมอ ที่สำคัญคือการเติบโตอีกขั้นกับเรื่องชีวิตคู่เมื่อสาวจ๊ะตัดสินใจเบรกงานในวงการ เพื่อมีทายาทมาเติมเต็มครอบครัวแล้ว

 พอใจฟีดแบ็กวัยแสบสาแหรกขาด 2” มั้ย?
“ต้องเข้าใจก่อนว่าละครแนวนี้ไม่ใช่ละครตลาด ถ้าได้ในระดับที่เป็นอยู่จ๊ะดีใจมาก เพราะสิ่งที่เราได้มากกว่าคำชม มีคนเข้ามาแชร์เรื่องราวในชีวิตเขา แนะนำข้อมูลกัน มันเป็นอะไรที่เราไม่ค่อยได้เห็นจากละครไทยทั่วไป ดูละครแล้วเขาเปิดใจว่าลูกเขาเป็นแบบนี้ พอได้ดูละครแล้วรู้สึกมีวิธีที่จะเอาไปใช้ จากที่ไม่เคยบอกใครว่าลูกเป็นยังไง แต่เขาเลือกที่จะบอกเรา หรือไม่ก็มาระบายในทวิตเตอร์เต็มไปหมด รวมถึงเด็กวัยรุ่นที่บอกว่าละครเหมือนชีวิตหนูเลย ควรทำยังไง เรายังไม่ทันได้เข้าไปตอบ ก็มีคนตอบและให้กำลังใจแล้ว เหมือนเราเป็นสื่อกลางและเราต้องการแบบนี้ อยากให้คนกล้าบอกเรื่องของเขา แล้วมีคนมาช่วยเหลือกันค่ะ”

 เป็นละครน้ำดี แต่ดูเหมือนเรตติ้งจะไม่ค่อยสูงเท่าไหร่?
“มันเป็นอะไรที่เรารู้อยู่แล้ว เพราะเป็นตั้งแต่ภาคแรก เราได้เรตติ้งกรุงเทพฯ ค่อนข้างดี ซึ่งมันเป็นละครที่ถ้าใครดูแล้วรู้สึกอึดอัดก็เปลี่ยนช่อง ไม่ดูก็มีนะ มันขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาการรับมือของคนดูแต่ละคนด้วย แสดงว่าเขายังไม่พร้อมเปิดใจค่ะ”

 ด้วยความที่ภาคแรกประสบความสำเร็จ ก่อนจ๊ะจะกลับมารับบทนี้อีกครั้ง กดดันรึเปล่า?
“กดดันนะ ทั้ง 2 ภาคเป็นบทที่ยากที่สุดในชีวิตนักแสดงจ๊ะ เซ็นซิทีฟที่สุด มันเล่นกับอาชีพคนจริง ๆ และเป็นนักจิตวิทยา เรารู้อยู่แล้วว่าถ้าเล่นพลาดต้องโดนแน่ แต่ความโชคดีคือเรามีที่ปรึกษามากมาย ทุกคนให้กำลังใจในแง่ที่ว่ามันไม่มีผิดถูก นักจิตวิทยาก็คือคน ไม่มีกฎตายตัว ทุกอย่างเราก็ทำตามที่ได้รับปรู๊ฟจากแพทย์และนักจิตวิทยาจริง เราเลยค่อนข้างสบายใจขึ้น แต่ “ครูทรายทิพย์” ในภาคนี้อาจทำให้คนดูจึ๊ก ภาคแรกเราจะเห็นชีวิตเขามีแต่บวก มาภาคนี้เขามีมุมลบ เราอยากให้คนดูทุกคนเห็นว่าทรายทิพย์ก็เป็นคนนึงที่มีสีเทา มีมุมผิดพลาดในชีวิต ซึ่งมาหมดในภาคนี้ มีมุมดาร์คที่คนจะบอกว่าเป็นขนาดนี้ได้เลยเหรอ จะมาท้าย ๆ เรื่อง ไม่ใช่นักจิตวิทยาจะสติแตกไม่ได้ มันเหมือนคนที่รับแต่ไม่รู้ไปลงตรงไหน โดนกดดันจากทุกทาง มันก็ระเบิดได้ค่ะ”


 ตีความการเติบโตของครูทรายทิพย์จากภาคแรกยังไง?
“โชคดีที่เรื่องเปิดกล้องมา ฉากแรกเลยคือฉากแต่งงาน ซึ่งเป็นหลังจากที่จ๊ะแต่งงานจริงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ทุกอย่างถ่ายควบคู่ไปกับชีวิตจริงของเรา เลยรู้สึกว่าเราเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าแต่งงานใหม่เป็นอารมณ์ไหน และดันเป็นคู่แต่งงานที่ทำงานด้วยกัน เหมือนเลยอีก (ยิ้ม) เราเลยเข้าใจในมุมที่แต่งงานกันแล้วยังต้องทำงานด้วยกัน กลับมาบ้านเราจะคุยเรื่องงาน บางอย่างมันยังติดค้างอยู่ ซึ่งมีที่เรารู้สึกว่ายังคาแรกเตอร์ทรายไม่ออกจากเรา มีหลายครั้งที่เครียดกับมัน ยังอยากคุยเรื่องนี้กับเอินต่อ แต่เขาจะบอกให้พอ เราจะสลับกันนะเพราะบางทีเขาเครียดมา 4-5 ทุ่มยังพูดไม่หยุด เราก็จะบอกให้พอ ดูหนังดีกว่า ต้องมีเบรกกันค่ะ”

 เล่นมา 2 ภาคแล้วครูทรายทิพย์ให้อะไรกับจ๊ะมากที่สุด?
“สตินะ (หัวเราะ) ทรายเป็นคนใจเย็นมาก จริง ๆ เขาคงรู้สึกแต่ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าไม่ได้ เพราะเขาเรียนมาด้านนี้ จะรู้วิธีจัดการอารมณ์ตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทราย และเราก็ได้ตรงนี้มาสอนตัวเองเหมือนกันค่ะ”

 เลือกเคสเกี่ยวกับปัญหาของเด็กมานำเสนอในภาค 2 นี้ยังไง?
“มีเคสมากองให้เลือกเยอะมาก เราก็เลือกมา 5 เคสนี้ คือ เคสเพศทางเลือก, เด็กกรี๊ด, เด็กติดเกม, เพอร์เฟกชั่นนิสต์ และ ออทิสซึ่ม เพราะมองว่าเป็นเคสที่ใกล้ตัววัยรุ่นยุคนี้มากที่สุด แต่จริง ๆ มีเคสเยอะมากทำได้อีก 10 ภาค (ยิ้ม) ส่วนตัวจ๊ะว่าเคสเพอร์เฟกชั่นนิสต์ยากที่สุด เพราะตัวละครนี้ไม่ยอมเปิดใจ ถ้าเขาไม่เปิดใจก็ไม่มีใครเดินเข้าไปช่วยเขาได้ค่ะ”

 อยากให้แฟน ๆ ได้อะไรจากวัยแสบสาแหรกขาด 2” ที่สุด?
“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกเคสเป็นเรื่องจิตใจ บางทีเราทำร้ายกันโดยไม่รู้ตัว คำพูดเล็กน้อยที่เราแค่พูดไป แต่บางทีคนฟังก็เจ็บไปแล้ว ในเรื่องจะบอกเรื่องการเอาใจใส่ การฟัง การใกล้ชิด สังคมไทยเป็นแบบผู้ใหญ่และเด็กมีช่องว่างกันเยอะ มีระบบอาวุโสเยอะ ก็จะรู้สึกว่าห้ามเถียง บางทีเขาแค่อาจอยากเล่า อยากระบาย ซึ่งคนที่เขาต้องการให้ฟังที่สุด แน่นอนว่าคือพ่อแม่หรือคนที่เขาไว้ใจและรัก เราอยากให้ฟังกัน ทำความเข้าใจและเปิดใจให้กันมากขึ้น ไม่ได้บอกว่าให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็กอย่างเดียว แต่จะสอนเด็กว่าต้องเข้าใจพ่อแม่ด้วย เน้นเรื่องการสื่อสาระหว่างกัน มีอะไรพูดกันตรง ๆ ด้วยคำพูดที่ดี”

 หลังแต่งงานจ๊ะมีวิธีเลือกรับงานยังไง?
“จ๊ะไม่รู้สึกว่าเปลี่ยน ตอนนี้เป็นสามีก็รู้สึกเรามีเขาอยู่ แต่ด้วยความเป็นเขาที่ไม่ได้อะไรกับเราเลยไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนอะไร เวลาใครมาทักว่าเป็นสามีภรรยายังรู้สึกแปลก ไม่ใช่ความเขินแต่เป็นความรู้สึกว่าเหรอ! ทุกอย่างเหมือนเดิม แค่เราได้ดูแลใกล้ชิดกันมากขึ้น เรียนรู้ที่จะถนอมความรู้สึกกันมากขึ้น ส่วนในแง่ความเป็นแม่บ้าน ไม่มีเลย ไม่ใช่ไม่คิดลองนะ แต่เอินบอกว่าพอเหอะ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรายอมรับซึ่งกันคือจบ เขาไม่ได้ต้องการแต่งงานแล้วเธอต้องโน่นนี่ ไม่เคยบอกให้เราเตรียมอาหารเช้าเพราะเขารู้ จ๊ะเคยลองทำแล้ว ดีนะ บ้านไม่ไฟไหม้อ่ะ (ยิ้ม) มันไม่ได้จริง ๆ ก็เลยช่างมันเถอะ หลังแต่งงานเปลี่ยนไปแค่เราได้อยู่ด้วยกันจริง ตอนเป็นแฟนก็ต่างคนต่างอยู่บ้านตัวเอง เราเลยเป็นคู่ที่ไม่ได้มีการใช้ชีวิตด้วยกันก่อน พอต้องมาอยู่ด้วยกันตอนแรกจ๊ะก็ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เราต้องมาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ตื่นมาก็เจอ มันแค่ต้องปรับตรงนั้นมากกว่า พอปรับได้ใช้ชีวิตก็ไม่มีปัญหาค่ะ”


 หลังแต่งงาน หวานขึ้นรึเปล่า?
“จ๊ะว่าหวานขึ้น เหมือนเราทำความเข้าใจแล้วว่าเราจะรวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ เมื่อก่อนเราคิดเองทำเลย ไม่ต้องปรึกษา แต่ตอนนี้ไม่ได้ มีอะไรต้องหันไปมองเขา ให้เกียรติบอกกัน แชร์คนละครึ่ง เป็นครึ่งนึงของชีวิตกันจริง ๆ ซึ่งเอินโรแมนติกกว่าจ๊ะอยู่แล้ว (ยิ้ม) ระหว่างกันเราพูดเพราะ แต่จ๊ะไม่ใช่ผู้หญิงหวานค่ะ”

 ประทับใจอะไรในตัวเอินที่สุด?
“เขาเป็นคนสม่ำเสมอมาก ปรับตัวง่ายกับทุกอย่าง แทรกซึมในครอบครัวและทำให้คนในบ้านเราทุกคนรักเขา ไม่ได้นึกถึงแค่เรา แต่นึกถึงคนอื่นในบ้านเราด้วย และก็เป็นแบบนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ วันแรกเขาเป็นยังไงวันนี้เขาดีขึ้นด้วยซ้ำ คือเราเคยคุยกันในประเด็นที่ว่า คู่แต่งงานจะมีวันที่ความรักค่อย ๆ ลดลงรึเปล่า เขาก็บอกว่า “ไอจะไม่เป็น” (หัวเราะ) เราค่อย ๆ เรียนรู้ระหว่างกัน เราดันเป็นคู่ที่ทำงานด้วยกัน มันเลยกลายเป็นเผลอโยนความเครียดใส่กันไปมา สุดท้ายมานั่งคิ้วขมวด แต่เราก็จะบอกว่าเราลืมอีกแล้ว ไหนบอกว่าจะเป็นเวลาที่ไม่เอาเรื่องงานมาคิดแล้วไง แล้วเราก็ไปเดทกัน พยายามเติมกันเหมือนรักครั้งใหม่ตลอดเวลาค่ะ”

ตั้งแต่คบกันจนแต่งงานกัน ก็เป็นคู่ที่คอยส่งเสริมกันตลอดมีเทคนิคในการดูแลความรักกันยังไง?
“เราจะคุยกันตลอดว่าถ้าเราเริ่มมีอะไรที่รู้สึกไม่โอเคเกิดขึ้นต้องบอกกัน ไม่เก็บจนเป็นดินพอกหางหมูแล้วมาทำร้ายความรู้สึกกัน เล่าสู่กันฟังตลอดเวลาทุกวัน กิริยาที่เขาทำแล้วเราไม่โอเค เราจะบอก “ไอไม่ชอบที่ยูทำแบบนี้” ถ้าเขาไม่ชอบสิ่งที่เราทำ ก็จะบอกเรา “วันนี้ยูทำตัวไม่น่ารักนะคะ” เวลาบอกกันตรง ๆ เอินไม่มีอารมณ์นะ เขาจะ “ขอโทษค่ะ ไอลืมตัว” แต่เราจะแบบ “ไอทำเหรอ” ก่อนแล้วค่อยปรับ (หัวเราะ) เราแชร์กันทุกอย่าง โกรธแล้วจะไม่เก็บให้กลายเป็นระเบิด โกรธก็บอกว่าโกรธค่ะ”

 เห็นเอินเป็นผู้จัด แล้วจ๊ะเคยมีคิดทำเบื้องหลัง บ้างรึเปล่า?
“ทุกวันนี้ก็ช่วยอยู่ แต่เอินจะพูดตลอด รวมทั้งเราก็เห็นว่ามันไม่ใช่งานที่รื่นเริง การทำละครมันเครียด เพราะการเป็นโปรดิวเซอร์คุมทุกอย่าง อยู่กับคนร้อยแปดพันเก้า เขาไม่ค่อยอยากให้จ๊ะไปอยู่ตรงนั้น เขารู้ว่าเราจริงจังกับการทำงาน เขาไม่อยากเห็นเราหน้าดำคร่ำเครียดแล้วกลายเป็นเวลาส่วนของเราน้อยลง ก็ใช้วิธีแบบโยนมาให้เราช่วยคิด เช่น เราเห็นคาแรกเตอร์แบบนี้แล้วคิดถึงใคร เราช่วยในกระบวนการคิดมากกว่าค่ะ”

 แล้ว ณ วันนี้ บทนางเอกยังสำคัญสำหรับจ๊ะอยู่มั้ย?
“ยุคนี้แล้วสำหรับจ๊ะคือไม่สำคัญ เราจะเห็นละครหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องมีพระเอกนางเอก มันคือบทดีมั้ย ความสนุกอยู่ที่นักแสดงที่ปะทะกัน ไม่จำเป็นต้องมานั่งบอกว่าคนนี้เป็นพระเอก นางเอก นางรอง นางร้าย ทุกตัวละครเทาหมด ดูเป็นคนจริง ไม่ใช่แบบดีจ๋าหรือร้ายเลย แบบนั้นจ๊ะว่ามันเชย ทุกคนมีร้ายและดีค่ะ ขึ้นอยู่กับเราจะโชว์ว่าตัวละครนี้มีมิติด้านไหนออกมา แต่สุดท้ายต้องให้คนเห็นว่ามันมีทั้งมุมดีและไม่ดีเหมือนกัน อย่างเรื่องบทร้าย ถ้าเป็นตัวละครที่มีมิติดีมาก เราแฮปปี้”

เห็นว่าจบจากวัยแสบสาแหรก ขาด 2” จะเบรกงานละครก่อน เพื่อไปมีลูกรึเปล่า?
“ยังไม่รู้ (หัวเราะ) คือตั้งแต่แต่งงานมา เราคุยเรื่องนี้กันตลอดว่าจะมีหรือไม่มี ส่วนใหญ่เอนไปทางไม่มีมากกว่า ก็ยอมรับตรง ๆ เลยว่าเรามาทำละคร “วัยแสบสาแหรกขาด” เราเครียด และด้วยสภาพแวดล้อมก็ดรอปลงทุกวัน เราก็คิดเยอะ แต่บางคนก็บอกว่าอย่าคิดเยอะไป บางอย่างปรับตัวไปได้ตามสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนแรกเราปิดเรื่องการมีลูกทั้งคู่ แต่พอเจอบิวท์เยอะ ๆ เลยคิดว่ายังไงดี ก็คิดว่าจะพักงานแล้วตอนนี้ลองปล่อยไปตามธรรมชาติก่อน ประกอบกับตอนนี้จ๊ะเป็นฟรีแลนซ์แล้ว เลยยิ่งชิล เพราะตั้งใจปล่อยมีน้องด้วยเลยตัดสินใจไม่ต่อสัญญาช่อง 3 คือเรารู้สึกว่ามันคงไม่แฟร์ถ้าเราจะพักแล้ว แต่ช่องยังต้องมาซัพพอร์ต แต่ไม่ได้อิ่มตัวงานละครนะ จ๊ะยังไม่หมดไฟในเรื่องการแสดง ยังรักที่จะเป็นนักแสดง แต่เราคงดูอะไรที่ท้าทายมากขึ้นค่ะ”


 ด้วยความที่จ๊ะบอกว่าจะเบรกงานละคร แบบนี้กลัวคนลืมบ้างมั้ย มีมุมมองเรื่องคลื่นลูกใหม่เป็นยังไง?
“จริง ๆ จ๊ะมองตรงนี้น้อยลงไปเยอะมากแล้ว พอมีครอบครัวจ๊ะมองมุมอื่นชัดกว่า ชีวิตเราจะเอาแต่งานอย่างเดียว มัวมานั่งกังวลว่าเดี๋ยวจะไม่ได้แบบนี้แล้ว แต่ความเป็นมนุษย์ที่ได้ใช้ชีวิตครอบครัวปกติหายไป จ๊ะก็ไม่เอา เราต้องมองจริง ๆ ว่าความสำคัญในชีวิตเราอยู่ที่ตรงไหน เราผ่านวัยทำงาน 7 วันมาแล้ว ณ ตอนนั้น เราก็ไม่มีแฟน มีแต่ครอบครัว มันก็ทุ่มตรงนั้นได้ แต่ตอนนี้เรามีครอบครัวของตัวเองเพิ่มขึ้น มันต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ถูก เพราะสุดท้ายคนที่อยู่กันไปยาว ๆ จนถึงบั้นปลายชีวิตก็คือครอบครัวเรา ที่จะอยู่กับเราไปตลอด ดังนั้นจ๊ะไม่ได้เทความสำคัญไปที่งานเหมือนเมื่อก่อน มันเป็นรองมากแล้ว จุดโฟกัสเราตอนนี้คือชีวิตคู่ ยิ่งคนยุเยอะ ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าวันนึงเรามีลูก เราก็อยากจะทำยังไง สมองเปลี่ยนด้านไปคิดเรื่องอื่นก่อนมากกว่า เราได้เรียนรู้แล้วว่า เราจะทำแต่งานแล้วไม่ใช้ชีวิตไม่ได้นะ เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับคนที่เรารักให้เต็มที่ เรื่องงานเป็นเรื่องรองแล้ว ส่วนเรื่องคลื่นลูกใหม่ เป็นเรื่องปกติธรรมดามากจริง ๆ ทุกคนมีช่วงวัยของตัวเองอยู่แล้วค่ะ”

 เคยมีมองไว้มั้ยว่าถ้ามีลูกจ๊ะจะเป็นแม่สไตล์ไหน จะเลี้ยงลูกกันยังไง?
“ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแม่แบบไหน แต่ยิ่งมาแสดง “วัยแสบสาแหรกขาด” 2 ภาคติด ก็คิดมาตลอดเลยว่า ถ้ามีลูกจะไม่เลี้ยงแบบนี้ ไม่ทำแบบนี้ เราได้รับการสอนมาเยอะมาก ทั้งจากบทละครและการเจอจิตแพทย์ เราได้เรียนรู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วมันควรจะยังไง ดังนั้นมันจะอยู่ในหัวจ๊ะในแง่ถ้าลูกมีปัญหาแบบนี้ จะแก้ปัญหายังไงนะ”

 เคยมีคุยเรื่องอยากได้ลูกสาวหรือลูกชายบ้างมั้ย?
“คือจ๊ะกับเอินไม่ได้กำหนดเรื่องเพศลูกเลย แต่เอินเคยบอกว่าอยากได้ลูกชายมากกว่า เพราะเขาเซ็นซิทีฟมากกับผู้หญิง เป็นคนที่แบบอ่านข่าวเด็กถูกทำร้าย เขาจะน้ำตาคลอ เขาเคยบอกว่าถ้ามีลูกสาวเขาตายแน่เลย วัน ๆ กังวลแน่นอน แต่จ๊ะไม่ได้โฟกัสไปที่เพศ จะคุยกันในแง่ที่ว่า เขาโตมาจะให้เขาเลือกเพศเอง โอเคมั้ย ซึ่งจ๊ะไม่มายด์ เป็นสิทธิของเขา ตราบใดที่เขาไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร ซึ่งเอินก็บอกเหมือนกันว่าเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เลยกลายเป็นว่ามีลูกเพศอะไรก็ได้แหละ”

 คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย โอเคกับความคิดการให้ลูกเลือกเพศเองแบบนี้รึเปล่า?
“จ๊ะเชื่อว่าลึก ๆ ผู้ใหญ่คงมีคำถาม ยังไม่เปิดกว้างขนาดนั้น แต่เรารู้สึกว่าถ้าไม่เริ่มที่เราจะเริ่มที่ใคร ตัวเราก็มีเพื่อนเป็นเพศที่ 3 เยอะแยะและพวกเขาก็โคตรน่ารัก ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยในความรู้สึกเรา ขอให้เป็นคนดีก็พอ ซึ่งมุมมองแบบนี้มาจากเพื่อนที่เรียนด้วย พอเข้าวงการก็เจอพี่ ๆ แบบนี้เต็มไปหมด มันโอเคและเขาก็เป็นคนดี ไม่ได้สร้างความเดือดร้อน ดังนั้นปัจจัยไม่ได้อยู่ที่เพศ มันอยู่ที่มายด์เซตว่าโตมาแบบไหนมากกว่า และคุณพร้อมที่จะดีและให้คนอื่นกลับรึเปล่า ตรงนี้สำคัญกว่ามากค่ะ”

 ฝากถึงแฟนคลับ ที่คอยสนับสนุนมาตั้งแต่แรกเข้าวงการ?
“10 ปีกว่าแล้วเนอะ เขาก็เจ๋งที่อยู่กับเราได้ขนาดนั้นจริง ๆ ตามซัพพอร์ตเราทุกงาน แม้บางงานเรารู้สึกว่ามันนิดหน่อย แต่มันไม่นิดหน่อยสำหรับเขา ก็ดีใจที่มีคนรักเราจริง ๆ ไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติแต่เขาพร้อมที่จะรักเราตลอด ก็ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”

สำหรับเรื่องงานของจ๊ะเรียกว่าก็แฮปปี้และประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว ก็ขอเป็นกำลังใจเรื่องของทายาท เพราะเชื่อเหลือเกินว่าถ้าทั้งคู่มีลูก ก็ต้องเป็นเด็กที่โชคดีสุด ๆ เพราะเขาจะเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีทัศนคติที่เปิดกว้าง และจะเติบโตเป็นเด็กที่มีคุณภาพแน่นอน.

...................................................
วันวิสาข์ ดอกเงิน : เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ : ภาพ