3 สาว"โปรเจ็คเอช" เกิร์ลกรุ๊ปในตำนานที่หลายคนคิดถึง
บันเทิง
ถ้าพูดถึงวงเกิร์ลกรุ๊ปแนวป๊อปแดนซ์แห่งยุค 90 ตอนปลายเชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักวง โปรเจ็คเอช (Project H) 3 ศิลปินวัยใสจากค่าย โดโจ ซิตี้ ในเครือ เบเกอรี่ มิวสิค อย่าง พลอย หอวัง, กิ๊ฟท์-กุศลิน โควหกุล และ แอนนี่-มณฑิราภา รัตตะกุญชร กันอย่างแน่นอน แม้ปัจจุบันพวกเธอทั้ง 3 คนจะยุติบทบาทเกิร์ลกรุ๊ปและแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่เพลงของพวกเธอ อาทิ สุดสัปดาห์, ความลับ, วันที่เธอดูแปลก, ต่อให้ใครไม่รัก ฯลฯ ก็ยังคงฮิตติดหูแฟนเพลงมาจนถึงทุกวันนี้ ล่าสุดทั้ง 3 สาวกลับมารวมตัวกันอีกครั้งบนเวทีคอนเสิร์ต คาสเซ็ท เฟสติวัล (Cassette Festival) ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24-26 พ.ค.นี้ ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน วันนี้ ศิรินทร์ เลยขอชวนทั้ง 3 สาว มานั่งพูดคุยอัพเดทชีวิต ความสวยงามของวงการเพลงยุคคาสเซ็ท และสอบถามความคืบหน้าในการเตรียมตัวสำหรับการขึ้นคอนเสิร์ต เป็นอย่างไร ติดตามกันได้เลยจ้า
อัพเดทชีวิตตอนนี้ให้ฟังหน่อย ตอนนี้แต่ละคนทำอะไรกันอยู่บ้าง?
กิ๊ฟท์ : กิ๊ฟท์เป็นแม่ค้าค่ะ ทำเสื้อผ้าของสาวพลัสไซซ์ขายทางเฟซบุ๊ก
แอนนี่ : แอนนี่เป็นครูมา 7 ปีแล้วค่ะสอนเด็กเล็กชั้นอนุบาล 1-3
พลอย : ตอนนี้ทำรายการออนไลน์กับเพื่อนๆ และพี่สาว อาทิ รายการ หอวัง ซิสเตอร์ (Horwang Sister), เดอะ ไดรเวอร์ (The Driver) รวมถึงงานอีเวนต์ต่าง ๆ ค่ะ
รู้สึกยังไงที่ถึงแม้จะไม่ได้ทำเพลงกันแล้ว แต่แฟน ๆ ยังคิดถึงและให้การตอบรับโปรเจ็คเอชเป็นอย่างดี?
แอนนี่ : รู้สึกดีใจและขอบคุณที่ยังคิดถึงกัน ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงวันนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว พวกเราเองเวลาได้ยินเสียงเพลงของตัวเองก็รู้สึกเขินเหมือนกันค่ะ แอนนี่ว่าส่วนนึงอาจจะเพราะว่าเราไม่ค่อยได้ขึ้นคอนเสิร์ตบ่อยหรือเปล่า แฟนเพลงก็เลยรู้สึกคิดถึง อยากเจอเรา ถ้าเขาได้เจอเราบ่อย ๆ เขาอาจจะไม่คิดถึงเราก็ได้ (หัวเราะ)
เล่าย้อนกลับไปถึงการมารวมตัวในนามโปรเจ็คเอชให้ฟังสักหน่อย?
กิ๊ฟท์ : จริง ๆ แล้วกิ๊ฟท์เขาไปลองแคสเป็นศิลปินกับทางเบเกอรี่ มิวสิคก่อนค่ะ แล้วก็เป็นแอนนี่ จากนั้นแอนนี่ค่อยมาชวนพลอยตอนแรกพี่ที่ค่ายบอกว่าจะมี 5 คน พอเรา 3 คนมาเจอกันครบ ค่ายก็บอกว่าไม่ต้องหาใครมาเพิ่ม มีแค่ 3 คนพอแล้ว ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าทำงาน แต่รู้สึกว่าเราไปเที่ยวต่างจังหวัดทุกอาทิตย์ สนุกสนานกันตามประสาเด็ก ๆ เอาจริง ๆ เราก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอยู่ดี ๆ จะมาเป็นนักร้อง แต่คุณแม่สนับสนุนเรื่องการแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่แล้ว พอได้มาทำงานตรงนี้ท่านก็จะดีใจยิ่งกว่าเราอีกค่ะ
พลอย : จริง ๆ คือการไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัดเป็นการไปทำงานนั่นแหละ แต่เหมือนเราไปเล่นกันมากกว่า แต่ถ้าถามว่าเรารู้สึกว่าตัวเองมีภาระหน้าที่มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกันมั้ย สำหรับเด็กอายุ 14-15 อาจจะรู้สึกเหนื่อย มีความงอแงบ้างเวลาที่ต้องนอนดึกแล้วตื่นเช้าไปเรียน บางทีก็เรียนไม่ทันเพื่อน ไม่รู้ว่าเพื่อนพูดอะไรกันอยู่ เพราะเราโฟกัสกับตรงนี้มากกว่า ชีวิตส่วนนึงในวัยเด็กเราหายไป เพราะต้องไปทำงาน ก็อาจจะงง ๆ สงสัยบ้างว่าตอนนี้เขาทำอะไรกันอยู่
แอนนี่ : จริง ๆ แอนนี่กับพลอยมาสายถ่ายโฆษณา แล้วก็เรียนเต้นมาด้วยกัน เราชอบเต้นอยู่แล้ว พอวันนึงมีคนมาร้องเพลงด้วยกันมั้ย ก็อ่ะ ลองดูก็ได้ เพราะมีองค์ประกอบอันหนึ่งที่เราชอบ แต่อีกอันเราไม่แน่ใจ ก็เอามาผสมกันค่ะ
จากเด็กธรรมดา ๆ สู่การเป็นศิลปิน ที่ทุกคนรู้จักและติดตาม แต่ละคนรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง?
พลอย : ไม่ได้รับมืออะไรเลยค่ะ เพราะไม่รู้จะรับมือยังไง เราไม่ได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นศิลปิน มีคนรู้จัก และมีชื่อเสียง จังหวะนั้นก็คือตามน้ำไป เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราได้สัมผัสถึงการเป็นศิลปิน มีคนมาชื่นชม เขาตามมาดูวงเราโดยเฉพาะ”
แอนนี่ : อย่างที่บอกว่าไม่ได้ตั้งตัว ตอนนั้นก็จะรู้สึกงง ๆ ทุกครั้งที่เล่นคอนเสิร์ตก็ยังมีความกังวล จะมีคนมาดูเราเยอะมั้ย เขาชอบหรือเปล่า พวกเราเล่นโอเคมั้ย อะไรแบบนี้มากกว่าค่ะ
พอวันหนึ่งที่ถึงจุดสิ้นสุด ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง มิตรภาพของพวกเรายังคงเหนียวแน่นอยู่มั้ย?
แอนนี่ : ช่วงที่ไม่ได้ทำเพลงต่อคือช่วงที่พวกเราเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย พลอยไปเรียนต่อต่างประเทศ แอนนี่กับกิ๊ฟท์ก็แยกไปเรียนกันคนละที่ ทำงานกันคนละแบบ ทุกคนแยกย้ายกันแบบชัดเจน ก็เลยอาจจะไม่ได้คุยกัน ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่ แต่ตอนหลังได้กลับมาทำงานด้วยกัน ก็ได้กลับมาคุยกันมากขึ้น ต่อกันติดเหมือนเดิมนะคะ
ห่างหายจากการร้องเพลงไปนาน อะไรทำให้เราตัดสินใจยอมขึ้นคอนเสิร์ตนี้?
พลอย : จริง ๆ แล้วมีคนติดต่อมาเยอะนะคะ แอนนี่กับกิ๊ฟท์อยากขึ้น แต่พลอยเองที่เป็นคนเขิน ไม่ค่อยอยากจะขึ้น เราอยากจะให้คนจำภาพเราแบบที่เราเป็นตอนเด็ก ๆ มากกว่าในภาพที่เราโตขึ้นมาแล้ว เพราะบางทีเราอาจจะไม่ได้ร้องเป๊ะ ร้องเพราะ หรือเต้นได้ดีเหมือนสมัยก่อน ไม่อยากให้เขามีความเฟลกับตรงนี้ ก่อนหน้านี้พี่โอ๊ต-ปราโมทย์ จะชอบเปิดเพลงโปรเจ็คเอชแล้วพูดแซวให้พลอยร้อง แต่พลอยไม่ร้อง เพราะไม่ชอบเสียงร้องของตัวเอง เราโตแล้วอ่ะ เสียงก็แหบ ไม่มั่นใจในเสียงร้อง อย่ามาบังคับได้มั้ย คือถ้าไม่มีใครมากดดัน เราอาจจะร้องออกมาเองด้วยซ้ำไม่ต้องยุ ถ้าอยากทำจะทำเอง แต่หลายคนไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้เป็นแค่พลอย กิ๊ฟท์กับแอนนี่ก็เป็น แต่ที่เรายอมขึ้นคอนเสิร์ตนี้เพราะมีหลาย ๆ ศิลปินที่เราเป็นแฟนคลับเขาตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งเราได้ขึ้นเวทีกับพี่เขา เรารู้สึกว่าเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ ไม่มีใครสามารถทำได้แบบนี้แล้ว ยิ่งเราเป็นรุ่นเด็กสุดแต่ยังได้รับโอกาส ก็ยิ่งรู้สึกดี รู้สึกแฮปปี้ค่ะ
เตรียมตัวกันยังไงบ้าง ใกล้ถึงวันคอนเสิร์ตแล้ว?
กิ๊ฟท์ : เรารู้ลิสต์เพลงแล้วว่าจะต้องเล่นเพลงไหนบ้าง ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของการซ้อมร้อง ซ้อมเต้น ก็อาจจะต้องซ้อมกันเยอะหน่อย เคาะสนิมนิดหน่อย ก็ต้องรอดูว่าวันทำการแสดง โชว์ของเราจะออกมาในรูปแบบไหน (ยิ้ม)
พลอย : เตรียมใจอย่างเดียวเลย ใจต้องนิ่งให้ได้ก่อน (หัวเราะ) ทำโชว์ของเราออกมาให้ดีที่สุด แต่ด้วยความที่เราเป็นน้องเล็กเด็กสุดก็จะได้รับความเอ็นดูจากพี่ ๆ ศิลปิน เอะอะก็อยากหยอก อยากแกล้ง ถามว่าเตรียมรับมือพี่ ๆ เขายังไง ไม่ต้องเตรียมค่ะ รอไปเจอกันตรงนั้นเลย พลอยเชื่อว่าทุกอย่างสดมาก เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพี่ ๆ เขาจะเล่นอะไรกับเรา ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความเอ็นดู ความสนุกสนานที่ทุกคนมอบให้กันค่ะ
ปัจจุบันเพลงรวมถึงศิลปินยุค 90 กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง คิดอยากจะรวมตัวกันร้องเพลงประจำหรือทำอะไรพิเศษมั้ย เพราะแฟน ๆ ก็เรียกร้องอยากจะเห็นกัน?
พลอย : เอาเฉพาะโอกาสพิเศษดีกว่า ถ้าเล่นบ่อยๆคนเขาอาจจะไม่อยากมาดู ต้องนาน ๆ ที เขาจะได้มาดูกันเยอะ ๆ ค่ะ (หัวเราะ)
แอนนี่ : ถ้าเป็นโปรเจคท์ใหม่คงไม่มี เพราะพลอยเขาจะไม่ชอบแนวกดดัน ถ้าให้
รียูเนียนแต่เป็นโปรเจ็คเอชอย่างเดียวก็ไม่เอา เขาจะมีความกังวลว่าทำแล้ว
จะดีเหรอ แต่เป็นคอนเสิร์ตยุค 90 ก็ต้องมีอะไรพิเศษหรือเป็นแรงบันดาลใจที่
ทำให้เราสนใจอยากจะขึ้นจริง ๆ หรือมีหลายๆองค์ประกอบเข้ามาก็จะช่วยให้เขาตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะทำหรือไม่ทำ น่าจะเป็นแบบนั้นมากกว่าค่ะ”
ในฐานะศิลปินที่ประสบความสำเร็จในยุคที่วงการเพลงเฟื่องฟู มองว่าวงการเพลงในปัจจุบันเป็นยังไง?
พลอย : สมัยนี้เป็นยุคโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เพลงฮิตเร็วมาก ต่างจากสมัยก่อนที่ทุกอย่างขับเคลื่อนแบบค่อยเป็นค่อยไป นักร้องต้องไปเดินสายเยี่ยมร้านเทป ร้านซีดี เพื่อให้คนรู้จัก ขณะแฟนเพลงเองก็ต้องดูผลงานเราจากหนังสือ จากทีวี แต่ตอนนี้ถ่ายรูป โพสต์คลิปลงโซเชียลมีเดียแล้วบอกทุกคนว่าเพลงใหม่ออกแล้วนะ ไปหาฟังกัน อยากฟังเพลงอะไร ของศิลปินคนไหนก็ไปเสิร์ชหาฟังได้เลย ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องคอยติดตามข่าวสาร รอลุ้นว่าศิลปินจะทำเพลงออกมาอีกเมื่อไหร่
แอนนี่ : สมัยก่อนเพลงถูกขายในรูปแบบของเทปคาสเซ็ท แฟนเพลงจะได้ฟังเพลงของศิลปินครบทั้ง 10 เพลงเต็มอัลบั้ม แต่ยุคนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว มีให้เป็นซิงเกิ้ล บางทีก็ขายเป็นอัลบั้มรวมซิงเกิ้ลของศิลปินแต่ละคน
กิ๊ฟท์ : การเข้าถึงศิลปินของแฟนเพลงสมัยนี้ก็ง่ายกว่าเมื่อก่อน สามารถติดต่อพูดคุยกันผ่านโซเชียลมีเดียได้ นั่งดูผ่านไลฟ์สดที่บ้านก็ได้ ต่างจากเมื่อก่อนแฟนเพลงจะมาเจอศิลปินได้ก็ต้องเป็นตอนเลิกเรียนหรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คำที่ใช้เรียกก็แฟน ๆ ก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนเรียกเราจะเรียกคนที่ติดตามผลงานเราว่าแฟนเพลง สมัยนี้เรียกแฟนคลับ เอฟซี เปลี่ยนไปตามยุคสมัยค่ะ
เสน่ห์ของยุคคาสเซ็ทคืออะไร?
พลอย : สำหรับพลอยเทปคาสเซ็ทคือความคลาสสิกที่ไม่มีวันตาย ซื้อเทปมา 1 ม้วนได้ฟังครบทุกเพลง อยากฟังเพลงไหนซ้ำต้องใช้ปากกาสอดเข้าไปในรูเทปเพื่อหมุนกรอเทป เราต้องจำทุกเพลงว่าเพลงนี้ชื่ออะไร เนื้อร้องยังไง อยู่หน้าเอหรือหน้าบี อยู่ลำดับที่เท่าไหร่ แต่ละเพลงมีความเป็นตำนาน เปิดฟังเมื่อไหร่ก็ไพเราะ เป็นเสน่ห์ที่คนในยุคนั้นยังนึกถึงและเอามาพูดต่อได้ค่ะ
สุดท้ายนี้ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามและรอคอยการกลับมาของพวกเรามาโดยตลอด?
กิ๊ฟท์ : ขอบคุณทุก ๆ คนที่ยังคงคิดถึงและคอยติดตามข่าวสารของพวกเราโปรเจ็คเอชมาโดยตลอดนะคะ ฝากคอนเสิร์ต คาสเซ็ท เฟสติวัล ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24-26 พ.ค.นี้ ด้วยนะคะ นาน ๆ ทีพวกเรา 3 คนจะมารวมตัวกัน อยากให้มาสนุกและมาร่วมย้อนความหลังไปด้วยกัน
จากการพูดคุยกับสาว ๆ โปรเจ็คเอช ในวันนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองความคิดที่เติบโตขึ้น แต่ยังคงความน่ารัก สดใส ไว้เหมือนเดิม เชื่อว่าคงทำให้แฟน ๆ หลายคนหายคิดถึงพวกเธอกันไปบ้างนะคะ.
...............
ศิรินทร์