'ต้นหอม"ซัดกลับ'ปู ไปรยา" ย้ำเลือกเป็นบอสและผิดสัญญา
บันเทิง
ล่าสุดสาว ต้นหอม-ศกุนตลา เพื่อนซี้ของดีเจมะตูมและเป็นหนึ่งในผู้ทำธุรกิจร่วมกับสาวปู ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยระบุประเด็นต่างๆว่า “จริงๆมันเริ่มจากการที่เราร่วมงานกันคือการทำธุรกิจขนาดนี้ มันจะมีหนังสือสัญญาอยู่แล้ว ทุกคนมีสัญญาฉบับเดียวกัน สัญญาน้องเป็นคนเขียน ตั้งแต่เราติดต่อไปแล้ว ใจเราอยากได้เขาเป็นพรีเซนเตอร์ ณ ตอนนั้น แต่เราก็ให้ทางเลือกน้องว่าน้องอยากเป็นพรีเซนเตอร์หรืออยากเป็นบอส ทุกอย่างน้องเป็นคนเลือก น้องเลือกเป็นบอส เราให้น้องร่างสัญญาเลยอยากได้แบบไหนร่างมา แล้ววันนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือพอมีอะไรที่มันผิดสัญญาเกิดขึ้น มันเลยพาทุกอย่างให้มาไกลถึงการฟ้องร้อง”
“หอมจะพูดในมุมบริษัทว่ากว่าที่เราจะเลือกฟ้องร้อง บริษัทเลือกประนีประนอมมาก่อน เรายื่นโนติสถึง 3 ครั้ง 3 ฉบับ ฉบับที่หนึ่งเป็นการบอกว่ากลับมาทำงานนะ มันยังมีสัญญาระหว่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นตอนตลาดออนไลน์ล้ม มันไม่ได้ล้มเป็นโดมิโน่ แต่มันล้มเหมือนสึนามิล้มแล้วบริษัทเราล้ม พอล้มปุ๊บ ณ ตอนนั้นเจ้าของไม่มีสิทธิ์สละเรือเพราะถ้าเจ้าของแบรนด์สละเรือ กลายเป็นตัวแทนจะลำบาก วันนั้นเราก็ยื่นโนติสว่าน้องกลับมาทำงานนะ แล้วโนติสฉบับที่สองถูกยื่นไปอีกครั้งหนึ่งก็เหมือนเดิมว่ากลับมาทำงานนะ แต่เราไม่ได้รับการติดต่อเลย โนติสสองฉบับเราได้รับการเพิกเฉยมาโดยตลอด จนกระทั่งฉบับที่สามมันเหมือนฟางเส้นสุดท้ายจริงๆเพราะว่าตัวแทนเราก็ไม่ไหวแล้ว บริษัทเราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราจึงทำการปลดออกต่อมาข่าวนำเสนอออกไปเหมือนเขาถอนตัว ถ้าถอนตัวมันเหมือนบริษัททำผิด แต่ไม่ใช่นะวันนี้บริษัทเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราปลดเพื่อที่เราจะได้ดำเนินการต่อฉะนั้นพอเป็นการปลด การฟ้องร้องจึงเป็นสิ่งที่ตามมา อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่เรื่องนี้เป็นปมแตกหักเรื่องเงินไหมหอมว่าต้องไปถามเขา แต่สำหรับหอมรู้สึกว่าความคาดหวังของน้อง ผลประโยชน์มันน่าจะประมาณนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหอมคอนโทรลไม่ได้จริงๆเพราะตลาดออนไลน์มันล้ม พอล้มแล้วเราทำได้เพียงแต่ลุกขึ้นมาช่วยกันสร้าง ซึ่งมะตูมก็ต้องอุ้มบริษัทขึ้นมา ยอมรับว่าแย่นะที่ต้องมีการสาดน้ำลายใส่กันและมีภาพนี้เกิดขึ้น สำหรับเหตุผลที่ฟ้องร้องคือไม่ได้รับความร่วมมือในฐานะเจ้าของแบรนด์ เจ้าของแบรนด์ทิ้งแบรนด์ไม่ได้หรอกถ้าทิ้งแบรนด์เท่ากับทิ้งตัวแทน น้องเป็นเจ้าของจริงๆหอมยืนยัน”
“แต่พอเขาสัมภาษณ์แบบนั้นปุ๊บ แน่นอนว่าเอฟเฟ็กซ์มันตีกลับมาทางนี้เพราะคนเข้าใจผิด แล้วเขาก็จะโดนตัวแทนเหมือนกันเพราะตัวแทนก็จะตีกลับไปหาเขา พอเขาสัมภาษณ์มะตูมก็ขึ้น ส่วนหนึ่งมะตูมรู้สึกผิดที่พาเขาเข้ามา วันที่เราแตกหักทะเลาะกันนี่แหละ มะตูมร้องไห้แล้วบอกว่าขอโทษนะที่พาเขาเข้ามา เราบอกว่าไม่เป็นไรมะตูม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พี่ก็ยังอยากร่วมงานกับเขา เพราะตอนนั้นเขาคือคนที่เหมาะสมจริงๆและถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราคงคุยกันดีกว่านี้ หอมจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องถึงการฟ้องร้องอย่างทุกวันนี้ อยากทำให้ดีที่สุด แต่ก่อนหน้านี้เอาจริงๆส่วนตัวหอมไม่ได้มีอะไร แต่พอหลังฟังคำสัมภาษณ์ หอมยอมรับว่าหอมมีอารมณ์ขึ้น มันรู้สึกช็อกไม่รู้รู้สึกอะไร แต่หอมรู้สึกไม่ดีแหละอารมณ์ไม่ดี หลังจากวันที่น้องให้สัมภาษณ์ไป น้องก็ติดต่อมะตูมมา โดยการไลน์หา แต่มะตูมก็พูดกับเขาตรงๆว่าเขาไม่ควรสัมภาษณ์แบบนี้เพราะยูพูดแบบนี้ดีเข้าตัวแล้วทุกอย่างมาลงทางนี้ โอเคน้องไลน์มาแล้วอยากจบ"
“ส่วนเรื่องในเฟซบุ๊กที่บอกว่าผู้จัดการโพสต์ เขาไม่ใช่ผู้จัดการ แต่เขาคือรุ่นน้องคือเพื่อนที่ตามเราไปไหนมาไหน ความผิดหอมคือหอมดันไปคอมเม้นต์ต่อ หอมใช้วาจาที่หยาบคาย ปกติพื้นที่ส่วนตัวตรงนั้นเฟซบุ๊กเพื่อนคนนี้ก็อารมณ์ประมาณเกรียนคีย์บอร์ดอยู่แล้ว ทุกอย่างหยาบหมด แต่มันไม่เคยถูกเอามาแชร์ในโลกสาธารณะ วันนี้หอมก็ได้บทเรียนว่าพอออกมาในโลกสาธารณะ กลุ่มคนมันกว้างขึ้นมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ยอมรับว่าคอมเม้นต์เอง พออยู่ในที่สาธารณะมันแรง ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว จริงๆเรื่องนี้อยากให้ลงเอยด้วยการคุยกัน ถ้าวันนี้จริงใจต่อกันเข้ามา แต่ถ้าไม่เอาพี่หนูไม่โอเค ไม่เป็นไรเราว่ากันตามกฎหมาย เราหยุดการสัมภาษณ์เท่านี้ดีไหมมันเปลืองตัวทั้งคู่ แต่การฟ้องคดีอะไรบ้างรายละเอียดไม่สามารถตอบได้เลยและหอมก็ไม่กลัวถูกฟ้องกลับด้วย ถูกว่าไปตามถูก ผิดว่าไปตามผิด แล้วอีกอย่างหนึ่งผิดก็ชดใช้ค่าเสียหาย ขั้นตอนกฎหมายมีแค่นั้นเอง”
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @prayalundberg , @djtonhorm