ข่าว"แซมมี่ เคาวเวลล์" ลุคใหม่และมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไป - kachon.com

"แซมมี่ เคาวเวลล์" ลุคใหม่และมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไป
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s
เข้มข้นจนถึงโค้งสุดท้าย สำหรับละครเรื่อง หลงเงาจันทร์ ทางช่อง 7 กับการโคจรมาพบกันอีกครั้งของ แซมมี่-ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์ และพระเอกหนุ่ม ธันวา สุริยจักร ก่อนที่ละครจะลาจอ ดาวต่างมุมเลยต้องนัดสาวแซมมี่มาพูดคุยถึงบทบาทของ พิมพ์ชนก ที่เจ้าตัวออกปากว่าไกลตัวและต้องทำการบ้านหนักมาก ซึ่งวันนี้แซมมี่มาในลุคใหม่และมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว

 ฟีดแบ็็กละครหลงเงาจันทร์ เป็นอย่างไรบ้าง?
“โอเคเลยนะคะ ก่อนหน้านี้หลายคนที่รู้ว่าเราจะเล่นเรื่องนี้ก็จะมีคอมเมนต์เข้ามาว่าอาจจะไม่เหมาะกับบท พิมพ์ชนก แต่พอละครออกอากาศไปแล้ว ฟีดแบ็กออกมาดี เราเลยค่อนข้างจะหายเหนื่อย เพราะเราค่อนข้างตั้งใจมากเหมือนกัน ว่าจะต้องทำยังไงให้ดูน่าสงสาร ด้วยความที่เราหน้าตาสู้คน หน้าตาเชิด ๆ หน่อย ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะพยายาม 50 แต่เราอาจจะต้องพยายามเต็ม 100 เลยค่ะ”

 พิมพ์ชนกในเวอร์ชั่นของแซมมี่?
“เท่าที่ได้คุยกับทีมกำกับ บทที่เขียนมาในเวอร์ชั่นนี้ค่อนข้างที่จะมีเหตุผลมาก คือพิมพ์ชนกมีความอ่อนโยนนะคะ แต่ไม่ใช่ความอ่อนแอ ไม่ใช่หลับหูหลับตายอมคน จะมีที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นคำว่าพิมไม่สู้ อาจจะไม่ใช่สำหรับทุกเหตุการณ์ ส่วนตัวเราไม่มีโอกาสได้ดูเวอร์ชั่นที่พี่กบ-สุวนันท์ เล่นไว้ เลยเป็นความโชคดี ที่ทำให้เราไม่มีภาพเก่าในหัว เลยไม่ได้พะวงว่าทำแบบนี้แล้วจะเหมือนไหม จะโดนเปรียบเทียบไหม”

 เห็นว่าร้องไห้หนักมาก?
“หนักมากค่ะ ยังไม่เคยเล่นละครเรื่องไหนแล้วร้องไห้เยอะขนาดนี้เลย เรารู้สึกว่าใช้พลังงานเยอะมาก แล้วด้วยคาแรกเตอร์ของพิมพ์ชนก เขาค่อนข้างถูกจำกัด เป็นคนนิ่ง ๆ เป็นคนเก็บความรู้สึก เลยต้องแสดงออกทางสายตาให้ทุกคนได้รู้ ถือว่ายากทีเดียว”

 บทบาทนี้ต่างจากแซมมี่เยอะไหม?
“ปกติส่วนตัวเราเป็นคนไม่ค่อยเก็บความรู้สึกนะคะ ถ้ารู้สึกอะไรก็แสดงไปแบบนั้น ชีวิตจริงหน้าตาเราจะไปก่อนเลย ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ ไม่โอเค ก็เรียกว่าค่อนข้างไกลตัวเลยค่ะ อีกอย่างเราจะติดพูดเร็ว พูดรวบคำ แต่กับพิมพ์ชนกก็จะต้องพูดช้า ๆ ชัด ๆ ก็ต้องปรับเยอะค่ะ”


 ร่วมงานกับ ธันวา อีกครั้ง?
“ดีนะคะ ข้อดีของการได้เล่นละครร่วมกับคนที่เราเคยเจอกันมาแล้ว คือเราจะผ่านจุดที่เราเขินหรือเกรงใจกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าฉากก็สามารถเต็มที่ได้ทั้งคู่ ส่วนเลิฟซีนในเรื่องนี้แทบจะไม่มีเลย แตกต่างจากเรื่องก่อนที่เปิดตัวมาเราต้องรักกันอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เกลียดกันมาก่อน แล้วค่อยมารักกัน และระหว่างที่รักกันก็มีอุปสรรคทำให้ไม่สามารถแสดงออกได้ เลยจะไม่มีเลิฟซีนให้เห็นเหมือนเรื่องก่อน ไม่ได้จูบปากเปื่อย (หัวเราะ)

 นอกจากเรื่องนี้แซมมี่มีผลงานอะไรอีก?
“เพิ่งเปิดกล้องละครเรื่อง สุภาพบุรุษชาวดิน ไปค่ะ ได้กลับมาร่วมงานกับทีมงาน “เฟิร์สคลาส เอ็นเตอร์เทนเมนต์” อีกครั้ง เป็นความโชคดี เพราะเป็นทีมเดิมที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว และได้ร่วมงานกับ พอร์ช-ศรัณย์ หลังจากหายกันไปถึง 5 ปี จากละคร เพลงรักผาปืนแตก” ดีใจที่คนยังรอ ยังเรียกเราว่า ผัวจ๋า เมียจ๋า ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งค่ะ”

 เพราะละครเรื่องใหม่ ทำให้แซมมี่ต้องตัดผมด้วยหรือเปล่า?
“ไม่ค่ะ พอปิดกล้องละครเรื่อง หลงเงาจันทร์ ตอนนั้นยังไม่มีอะไรคอนเฟิร์มทั้งเรื่องละคร และอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งเราอยากเปลี่ยนลุค ตอนแรกลองใส่วิกไปออกงานก่อน แล้วฟีดแบ็กดี มีแต่คนชม เลยตัดสินใจตัดทั้งผมสั้นและผมม้าด้วยตั้งแต่เกิดมาถ้าไม่นับตอนเรียนประถมที่โรงเรียนบังคับ ก็ไม่เคยตัดผมสั้นเลย ครั้งนี้สั้นที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ และบังเอิญว่าผู้ใหญ่ก็ชอบ และบอกว่าเล็ง ๆ เราไว้สำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว ยิ่งตัดผมสั้นยิ่งตรงกับคาแรกเตอร์ของตัวละครพอดี เพราะนางเอกจะต้องย้อนวัยตัวเองลงมาอีก 10 ปี อยู่ในช่วงมหาวิทยาลัย เขาเลยคิดว่าถ้าลุคนี้มาอยู่ในตัวละครนี้น่าจะดีนะ”

 แซมมี่เคยคิดที่จะเป็นนักแสดงอิสระบ้างไหม?
“ณ ตอนนี้เรายังแฮปปี้อยู่นะคะ ช่วงต้นปีผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าแพลนเราในปีนี้เป็นยังไงบ้าง ซึ่งเราก็โอเค บวกกับสัญญาที่เรายังมีกับทางช่องอยู่ด้วย คือการเป็นฟรีแลนซ์ช่วงนี้กระแสมาแรงมาก ทุกคนเลยออกไปกัน แต่เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะยังเวิร์กไหม เลยตอบยาก ทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด แต่อยู่ที่นี่เรายังมั่นใจว่าเขามองเราไปในทิศทางไหน ยังอุ่นใจ เราอยู่ช่อง 7 ตั้งแต่ปี 2007 เราไม่เคยคิดว่าจะอยู่ในวงการได้นานขนาดนี้เลย จากเด็กโง่ ๆ คนหนึ่งเข้ามาประกวด ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เข้าวงมาในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ชอบเดินแบบ อยู่มาถึงทุกวันนี้ จนเลี้ยงครอบครัวได้ ก็เป็นอะไรที่เกินคาดแล้ว เพราะการเข้าวงการสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกันมาก สมัยนี้แค่ลงคลิปหรือภาพในโซเชียลฯก็มีชื่อเสียงได้แล้ว”

 ก่อนหน้านี้เห็นแซมมี่ไม่สบายถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลเลย?
“ใช่ค่ะ เป็นโรคกลุ่มเดียวกับซีสต์ พวกลิ่มเลือดค่ะ คือมีวันหนึ่งที่ปวดท้องหนักมาก ปวดจนนอนไม่ได้เลยค่ะ เหมือนมีลม มีแก๊สในท้องเวลาขยับตัว ตอนแรกคิดว่าคงกินเยอะ เลยแน่น แต่รอจนอีกวันหนึ่ง ทานยาอะไรก็ไม่หาย ไม่ดีขึ้น เลยตัดสินใจไปหาคุณหมอ เลยทราบว่าเส้นเลือดที่เลี้ยงไข่แตก เลือดออกมาอยู่ตรงกระดูกเชิงกราน ประมาณเกือบ 6 ซม. คุณหมอเลยให้แอดมิดเลย เพราะว่าค่อนข้างเป็นเยอะ แล้วลำไส้ที่อยู่ติดกันก็ไปกองอยู่ในเลือด เลยห้ามขยับตัว ห้ามเดิน ห้ามนั่ง ให้นอนอยู่เฉย ๆ หลายวันเหมือนกัน เวลาเลือดออกเยอะ ๆ เราจะมีอาการซีด เลยต้องเจาะเลือดดูทุก 6 ชั่วโมง แต่ยังโชคดีที่ไม่ต้องผ่าตัด ตอนนี้ยังไม่หายดี 100 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดไปเช็กมาก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เราถามคุณหมอว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นอีกไหม คุณหมอบอกว่าขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย ถ้าไปเดินชนอะไรแล้วเส้นเลือดอาจจะแตกก็ได้ เพราะข้างในเราไม่ได้แข็งแรงอย่างที่คิด จาากนี้คงต้องไปตรวจสุขภาพทุกปี เพราะตั้งแต่เกิดมาเราเคยตรวจร่างกายครั้งเดียวในชีวิต ทั้ง ๆ ที่เราเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก แต่ไม่เคยหาหมอเองเลย ได้แต่พาคุณพ่อคุณแม่ไป ไปมาครบทุกตึก นอนแล้วทุกตึกในโรงพยาบาลแล้ว ช่วงที่คุณพ่อป่วย”


 ตอนนี้แซมมี่ย้ายจากคอนโดฯ กลับไปอยู่บ้านกับคุณแม่แล้ว?
“อยู่กับคุณแม่ยาวเลยค่ะ พอคุณพ่อไม่อยู่ เราเลยกลับไปอยู่กับคุณแม่และพี่สาวก็เหงา ๆ หน่อย ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่แล้วเราก็คิดถึง เวลาออกมาทำงานก็พาคุณแม่มาด้วยกันเลย ล่าสุดมีเข้าฉากในละคร สุภาพบุรุษชาวดิน เป็นฉากแม่พระเอกตาย แล้วต้องไปเผาศพ ก็รู้สึกว่าความรู้สึกนี้ยังอยู่ในใจเราตลอด ทุกวันนี้กลับบ้านไปก็จะบอกป๊าว่ากลับมาแล้วนะ วันนี้จะออกไปข้างนอกไปทำอะไรบ้างก็บอกเขา คือเราไม่รู้ว่าเขาอยู่หรือไม่อยู่ แต่เผื่อว่าเขาจะอยู่ แล้วเราก็พยายามทำบุญ กรวดน้ำไปให้บ่อย ๆ”

 ถ้ามองย้อนกลับไป แซมมี่เจอเรื่องหนัก ๆ เยอะเหมือนกัน?
“ถ้ามองย้อนกลับไป ถือว่าเป็นช่วงที่เราผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน จากที่แค่เราทำงานกลับบ้าน ชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย พอมาเจอตู้มเดียว ก็หนักที่สุดในชีวิตเลย เป็นการสูญเสียครั้งแรก จริง ๆ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ เราคิดมาแล้วก่อนที่คุณพ่อจะไปแล้ว ว่าจะทำให้ดีที่สุด และทำอะไรก็ได้ที่เขาจะไม่ทรมาน เราจะไม่ยื้อให้เขาอยู่กับเรานาน ๆ แต่เขาทรมาน เราจะเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าหมดเวลาของเขาเราก็ต้องปล่อย ตอนนี้ก็ดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด และดูแลตัวเองด้วย เพราะช่วงที่คุณพ่อป่วยทำให้เราคิดอะไรได้เยอะแยะ ว่าสุดท้ายต่อให้เจอเรื่องหนัก หรือร้ายแรงแค่ไหน เดี๋ยวก็ผ่านไป การสูญเสียคุณพ่อถามว่าเสียใจมากไหม ก็เสียใจมากอยู่แล้วค่ะ แต่สิ่งที่เสียใจกว่าคือ ถ้าเราทำได้ดีกว่านี้ มีเวลาได้อยู่กับเขามากกว่านี้ หรือให้เขาได้สบายมากกว่านี้คงจะดี”

 แล้วอะไรที่ทำให้แซมมี่มีความสุขที่สุด?
“การที่เราได้ทำงานตั้งแต่เด็ก ๆ ได้เลี้ยงดูครอบครัวค่ะ ถ้ามองย้อนกลับไปเป็นระยะเวลา 10 กว่าปีแล้ว ตรงนี้เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับชีวิต เราอาจจะไม่ได้ดังเป็นพลุแตก หรือดังชั่วข้ามคืน แต่การเติบโตทีละก้าวของเราทำให้ครอบครัวเราแฮปปี้ อาจจะไม่ได้สุขสบายมาก เพราะเราไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะ เราเริ่มทุกอย่างมาจากศูนย์หมดเลย แต่วันนี้เรามีรถตู้ให้แม่ เรามีบ้านที่ผ่อนหมดแล้ว เรามีรถอีกคันให้แม่ได้ขับ เราค่อย ๆ สร้างทีละนิดมาประกอบกัน คือเราไม่ได้ลำบากมาก บางทีเราดูทีวีเจอคนที่แย่กว่าเรา ทุกวันนี้ข่าวในเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมก็มีแต่อะไรที่หดหู่ เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราโคตรโชคดีแล้ว ถ้าไม่เอาตัวเราไปเทียบกับคนอื่น”


 ถามเรื่องหัวใจบ้าง?
“เหมือนเดิมค่ะ ยังไม่มีใครเป็นพิเศษขนาดนั้น แต่จากเหตุการณ์ของคุณพ่อทำให้เราได้คิดนะคะ จากเมื่อก่อนที่เราไม่อยากมีลูก ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีครอบครัว พอเราเจอแบบนี้ เราเลยอยากมีครอบครัวเป็นของตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรบ้าง เราไม่อยากแก่แล้วป่วยคนเดียว อยากมีคนที่จะแชร์อะไรด้วย อยากมีลูก อยากมีหลาน อยากสอนลูกให้เป็นคนดี อยู่ดี ๆ ก็แวบเข้ามา อาจจะด้วยอายุที่เราเกือบจะเลข 3 แล้วมั้งคะ เลยมีความคิดแบบนี้ (หัวเราะ) ซึ่งเรามานั่งสังเกตตัวเองว่าเพิ่งจะคิดได้แบบนี้เมื่อปีที่แล้วเองนะคะ ว่าการจะมีแฟน เราจะมาคิดแบบวัยรุ่นไม่ได้แล้ว เพราะเวลาผ่านไปไวมาก เพราะฉะนั้นถ้าจะศึกษาใครสักคนก็คงจะมองไกล ๆ แล้ว ถ้าเราจะคุยกับใครสักคนหนึ่ง ก็อยากที่จะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าน่าจะมีความเป็นไปได้นะ ก่อนหน้านี้ด้วยความที่เราเป็นเด็ก ความรักอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เรากระปรี้กระเปร่า แต่ด้วยอายุตอนนี้เราไม่อยากจะเสียเวลาแบบนั้นแล้ว พอแล้ว ถ้าคิดได้เร็วก็จะดีกับตัวเรา”

 ตอนนี้มีคนเข้ามาให้ศึกษาบ้างไหม?
“ก็มีค่ะ ถ้าไม่มีคงเป็นไปไม่ได้ คงจะบอกว่าเราโกหก (ยิ้ม) แต่ว่ายังบอกอะไรไม่ได้มาก และยังบอกตัวเองไม่ได้มากเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งเรามั่นใจแล้วก็คงพูดอะไรได้เยอะขึ้น เพราะเราไม่ใช่คนปิดอะไร เรายังใช้ชีวิตปกติประจำวัน ออกไปกินข้าว ใช้ชีวิตเหมือนเดิมเลยค่ะ”

 คนที่จะเข้ามาดูแลแซมมี่ได้ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?
“เราคิดว่าอยู่ที่คนสองคนมากกว่าที่จะคลิกหรือไม่คลิกกัน แน่นอนว่าคนสองคนเกิดมาจากครอบครัวที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คือคนอาจจะตอบแบบนี้ทุกคน แต่คือเรื่องจริงนะคะ แล้วอีกอย่างหนึ่งความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของคนรอบข้างด้วยว่า ทางครอบครัวเขาโอเคกับเราไหม คนรอบตัวเราจะโอเคกับเขาไหม ไม่ใช่แค่โลกของผึ้ง ที่มีแค่เราเพียงสองคน (หัวเราะ) คือเขาไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูเราได้นะคะ เพราะเราดูแลตัวเองได้ตั้งแต่ยังไม่มีเขาอยู่แล้ว แต่เขาต้องไม่เพิ่มภาระ ถ้าพูดตรง ๆ เนอะ คงไม่มีใครอยากมีแล้วยิ่งลำบาก หรือมีแล้วยิ่งแย่ ถ้ามีแล้วก็อยากจะให้ช่วยส่งเสริมกันและกัน อาจจะไม่ใช่คนในวงการ อาจจะเป็นคนนอกวงการก็ได้ ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วซัพพอร์ต กันแล้วโอเค ขอแค่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ว่าครอบครัวเรามาจากครอบครัวธรรมดา ไม่ได้มีนามสกุลใหญ่โตอะไร”

 คุณแม่ว่ายังไงบ้างกับเรื่องนี้?
“คุณแม่ไม่ซีเรียสเรื่องแฟน แต่คุณแม่อยากมีหลานค่ะ (หัวเราะ) แม่คงเหงา เพราะเขาอยู่คนเดียว ยิ่งพ่อไม่อยู่แล้วเลยอยากมีหลาน ยิ่งเราเข้าโรงพยาบาลรอบนี้ พี่สาวก็พูดกับเราว่า ถามหมอหรือเปล่าว่าจะเป็นหมันไหม จะมีลูกได้หรือเปล่า หรือต้องฝากไข่หรือเปล่า คือทุกคนไปไกลกว่าเราเยอะมาก เลยมีบางมุมแวบมา ว่าอยากจะฝากไข่แล้วนะตอนนี้ เพราะเราฝากเร็วเท่าไหร่ ไข่เราจะยิ่งเด็กเท่านั้น แต่ตอนนี้เรายังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน อีกกี่ปีจะได้แต่งงานก็ไม่รู้ ไม่ใช่อนาคตอันใกล้เลยค่ะ”

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้แซมมี่ในทุก ๆ เรื่องเลยนะจ๊ะ.

.......................................................
นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ