ข่าว"โม-มนชนก" ใช้ธรรมะเรื่องงานและความรัก - kachon.com

"โม-มนชนก" ใช้ธรรมะเรื่องงานและความรัก
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s

ปีที่ผ่านมาถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในชีวิตการทำงานของนางเอกสาว โม-มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ จริง ๆ เพราะหลังหมดสัญญากับช่องวัน สาวโมก็ผันตัวเป็นนักแสดงอิสระ ก่อนจะตัดสินใจเซ็นสัญญาเข้าสังกัดช่อง 3 วันนี้ ดาวต่างมุมเลยไม่พลาดที่จะคว้าตัวสาวโมมาเล่าถึงประสบการณ์การทำงานที่แปลกใหม่ รวมถึงมุมมองการใช้ชีวิตที่โตขึ้น พร้อมเรื่องหัวใจที่เจ้าตัวกำลังปลูกต้นรักกับหนุ่มนอกวงการคฑา โอสถานุเคราะห์ที่เรียบง่ายแต่ลงตัว ทำความรู้จักสาวเก๋คนนี้ในบทสัมภาษณ์เลยนะคะ

 การทำงานกับช่อง 3 ที่เปรียบเหมือนบ้านหลังใหม่เป็นยังไงบ้าง?
“จริง ๆ ถ้าไปกองถ่ายก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมาก แต่คนอาจเซอร์ไพร้ส์ จริง ๆ โมอยู่ช่องวัน  มานานพอสมควร อยู่มา 7 ปีแล้ว พอเราโตขึ้นก็อยากลองเปลี่ยนที่ทำงาน ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เป็นจังหวะที่ผู้ใหญ่ทางช่อง 3 ถามมาพอดี ก็อยากจะรับโอกาสนี้ไว้ ถือว่าได้ลองอะไรใหม่ ๆ ดูค่ะ ในแง่การทำงานโมว่าไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่ในส่วนขององค์กร ก็เป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้น มีหลาย ๆ ส่วนที่เราอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไปค่ะ อย่างละคร ทีใครทีมัน ถือเป็นบทบาทที่ท้าทาย น่าสนใจสำหรับโม เราก็ทำการบ้านมีไปเรียนการแสดงเพิ่มบ้างในส่วนที่เราไม่เข้าใจ คาแรกเตอรในเรื่องจะเป็นคุณหนู ที่มีความมุ่งมั่นชอบเอาชนะ เรื่องนี้ไม่ได้แบบว่าร้ายกรี๊ดกร๊าด จริง ๆ โมว่าคนเราทุกคนเป็นสีเทาหมด แต่ละคนมีสิ่งที่ตัวเองต้องการและมีเป้าหมายในชีวิตแค่นั้นเอง สำหรับโมความยาก คือ การที่เรามาร่วมงานกับช่องใหม่ และทีมงานใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย ทั้งผู้กำกับ พี่หนุ่ม-กฤษณ์ ยิ่งมาเจอพี่อเล็กซ์ เรนเดลล์ ซึ่งเขาเก่งมาก หรือว่าน้องนาย-ณภัทร เราไม่เคยเจอกันมาก่อน ทุกคนน่ารัก ตอนนี้ก็กำลังถ่ายทำไปเรื่อย ๆ คาดว่าปีหน้าน่าจะได้ชมกันค่ะ“

 คาดหวังกับการทำงานที่ใหม่มากน้อยแค่ไหน?
“แล้วแต่ช่วงโอกาส ณ ช่วงนั้น ๆ ด้วยนะคะ โมว่าเป็นสิ่งที่คาดเดายากมาก ไม่ว่าจะอยู่ช่องไหน แต่โมรู้สึกว่าช่องใหญ่ก็มีโอกาสมากกว่า เพราะมีฐานคนดูของเขา มีแพลตฟอร์มที่ใหญ่กว่า ด้วยความที่โมเข้ามาในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เราเป็นนักแสดงก็ต้องมีการปรับตัว แต่ก็มีอะไรแปลกใหม่ให้เราเลือก เพราะมีคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่คนกล้าทำมากขึ้น ซึ่งตัวเราเองก็เปิดรับกับสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน”

 7-8 ปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานตรงนี้?
“โมรู้สึกว่าเราโตขึ้น รู้ว่าควรจะอยู่จะปรับตัวยังไงกับการอยู่ตรงนั้น สมัยก่อนอาจจะด้วยความที่เรายังเด็กด้วย ก็จะงง ๆ ตอนนี้เข้าใจการใช้ชีวิตมากขึ้น แล้วยุคสมัยนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดียน่ากลัวมาก ใครจะทำอะไร ด่าใครก็ได้ ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ แต่ถึงอยู่ตรงนี้เราก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเอง ทำตัวปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าฝืน แต่ระมัดระวังในเรื่องโซเชียลมีเดียมากขึ้นค่ะ”


 คนจะมองว่าโมเป็นคนค่อนข้างปิดตัวเอง?
“อันนั้นเป็นพาร์ทในมุมส่วนตัว แต่ถ้าทำงานก็คือทำงาน โมก็พูดคุยกับคนอื่น ๆ ปกติ แต่เราไม่ใช่เด็กๆแล้ว ที่จะแบบว่าทุกคนมาจอยกันสนุกสนาน แต่ทุกคนทำงาน ฉะนั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องปรับตัวให้ได้ค่ะ  จริง ๆ โมเฉย ๆ กับเรื่องแบบนี้ แค่รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ได้ทำสิ่งที่ผิด โมว่าก็โอเคแล้ว เราห้ามความคิดคนไม่ได้ ต่อให้เราทำดีแค่ไหน คนที่ไม่ชอบเรา เขาก็คิดไม่ดีกับเราอยู่ดี ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปสนใจหรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ดี โมไม่ได้สตรองขนาดนั้น แต่อะไรที่ไม่ดี จะไปถือไว้ทำไม เราก็เป็นของเราแบบนี้ ก็ใช้ชีวิตของเราให้มีความสุขต่อไปค่ะ”

 โมอยากให้คนจดจำเราในแบบไหน?
“โมอยากให้คนรู้สึกอยากดูละครที่โมเล่น อยากให้คนดูมีความสุขกับสิ่งที่เราแสดง โมรักอาชีพนักแสดง เพราะเหมือนเป็นสิ่งที่สอนให้เรามีชีวิตเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ในแง่ของการวางตัว วิธีคิด วิธีมองโลก ทำให้เราโตไปตามวัยค่ะ แต่คนจะชอบตัดสินโมจากภายนอก ก็ไม่เป็นไรใครอยากคิดอะไรปล่อยให้เขาคิดไปเลย เราไปบอกเขาว่าเราเป็นคนดีไม่ได้ โมเลิกคิดไปแล้วเรื่องที่ใครจะคิดยังไง เพราะว่าบางทีเราก็ทำแบบนั้น จริง ๆ พูดเล่นนะคะ (หัวเราะ) เหมือนเราไม่รู้ว่าจะคิดอะไรแล้ว โมว่าธรรมะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แค่โมรู้ว่าอะไรดี รู้ผิดชอบชั่วดี ก็พอแล้วค่ะ”

 การทำงานหลังจากนี้มีลิมิตแค่ไหน?
“ตอนที่เป็นฟรีแลนซ์ก็จะมีอะไรที่แบบถึงพริกถึงขิงติดต่อเข้ามา แต่โมว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อม เรารู้สึกว่าขอไว้ก่อนดีกว่า เพราะว่าไม่ใช่ทางของเรา ถ้าโตกว่านี้อาจจะลองพลิกบทบาทได้ แต่โมรู้สึกว่าไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ เรื่องแบบนี้ฟีลต้องมา แล้วเราจะเข้าใจ และเล่นออกมาได้ดีกว่า ที่ผ่านมาโมได้รับบทบาทที่หลากหลายเหมือนกัน บทที่อยากเล่นแล้วยังไม่เคยลอง คือ บทบู๊ ดราม่าเครียดจิต ๆ ก็ยังไม่เคย หรือบทผีก็ไม่เคยเล่น ซึ่งถ้ามีโอกาสได้เล่นก็ได้พัฒนาตัวเองด้วยค่ะ”

 ตั้งเป้าหมายกับเส้นทางตรงนี้ไว้แบบไหน?
“เราชอบทำงานในวงการ ต่อให้เราไม่มีงานแสดงแล้ว ก็ยังอยากทำเบื้องหลัง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชอบแก้ปัญหา ต้องคอยจัดการจัดแจงนั่นนี่ โมชอบ รู้ว่าไม่สนุกหรอกแต่ว่าก็อยากลอง โมชอบหมดไม่ว่าจะเป็นการทำรายการ หรือละคร แต่ถ้าเริ่มจริง ๆ คงเริ่มจากการทำรายการก่อน เพราะละครเป็นอะไรที่ใหญ่เกิน ก็เริ่มศึกษาข้อมูลไว้จิปาถะ ไม่ได้ลงลึกขนาดนั้น เพราะยังไม่ใช่ 4-5 ปีนี้ แค่เป็นสิ่งที่เราคิดไว้ค่ะ”


 บาลานซ์ชีวิตการทำงานกับการใช้ชีวิตยังไง?
“จริง ๆ ทุกอย่างโอเคมาก โมก็ยังมีเวลาไปเที่ยว ก่อนหน้านี้มีเขียนบล็อกเกี่ยวกับการท่องเที่ยว โมชอบที่จะใช้ชีวิตสบาย ๆ ในเมืองนอก โมยินดีที่จะอยู่ในกฎระเบียบ โดยที่ไม่รู้สึกฝืนใจหรืออึดอัดเลย คนจะชอบคิดว่าโมเรียนเมืองนอกเหรอ เปล่าเลย โมแค่สไตล์แบบนั้นแล้วก็นำส่วนดี ๆ ของเขามาใช้ เช่น การตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม โมเป็นคนไม่ชอบความผิดพลาด ถ้าผิดแผนคือแบบเริ่มไม่โอเคแล้ว แต่โมมีแพลนบีนะ แต่ถ้าผิดแผนเราจะโมโหมาก ทนไม่ได้ แล้วโมจะเป็นอะไรกับคนที่ชอบตกรถไฟ ตกเครื่องบิน โมจะหงุดหงิดมาก ด้วยความที่เราเป็นคนวางแผน แล้วทำตามเป๊ะ ๆ อย่างชุดที่จะใส่วันนี้ต้องเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเราไม่รู้ว่าตอนเช้าจะผิดแผนอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้น่าจะได้มาจากคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ”

 ความรักกับคฑาเป็นอย่างไรบ้าง?
“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ ไม่ได้รีบร้อน ถ้าดีก็ดี ถ้าไม่ใช่เราก็ฝืนไม่ได้ เราเริ่มรู้จักกันจากการเป็นเพื่อน เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน ที่เจอกันที่นิวยอร์ก ตอนนี้ก็คุยกันปกติ ไม่ได้มีระวังอะไร ใช้ชีวิตปกติ ถามว่ามุมมองความรักเปลี่ยนไปไหม ก็เฉย ๆ ไปเลย ไม่ได้ว่าฉันจะต้องแต่งงานตอนอายุเท่านี้ เฉย ๆ มาก คือ มีก็ดี ไม่มีก็อยู่ได้ สิ่งที่ทำให้เราเปิดใจคุยกับเขา เพราะเขาเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ (ยิ้ม) เรามีทั้งสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกัน เราชอบถ่ายรูปเหมือนกัน แล้วเขาเป็นคนเป๊ะมาก ๆ จนน่ากลัว สำหรับโมความมีระเบียบเป็นสิ่งที่โอเค แต่วัฒนธรรมไทยจะมีความยืดหยุ่นหน่อย เรื่องบางเรื่องพูดไม่ได้ ซึ่งเขาไม่เข้าใจ ท้ายที่สุดต้องคุยเพื่อหาตรงกลาง โมเป็นคนซอฟต์อยู่แล้ว เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่”

 เวลาอยู่ด้วยกันสองคนมีโมเมนต์หวาน ๆ หรือมุ้งมิ้ง บ้างไหม?
“ไม่ค่ะ เฉยๆเลย อะไรที่มีความสุข ก็มีความสุขแค่นั้น แต่ละคนที่ผ่านเข้ามาก็ไม่เหมือนกัน โมเป็นคนไม่มีสเปก แล้วแต่ช่วงวัยด้วย ว่าช่วงวัยนั้นต้องการอะไร อยากมีชีวิตแบบไหน ณ วันนี้ก็แฮปปี้ที่เป็นแบบนี้ค่ะ”

 อยู่คนละประเทศ สร้างความเชื่อใจให้กันยังไง?
“โมไม่ค่อยคิดมาก เพื่อนก็ถามเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่คิดอะไรเลย เพราะโมเป็นคนเชื่อว่าสิ่งไม่ดีจะไม่เกิดกับเรา ถ้าเราทำดี เราไม่เคยทำไม่ดี ทำไมต้องได้ในสิ่งที่ไม่ดี โมคิดแบบนั้น เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โมเป็นคนเชื่อเรื่องเวรกรรม เรื่องอื่นโมไม่รู้ แต่ว่าเรื่องเวรกรรมมีจริง คนเราทำอะไรได้อย่างนั้นจริง ๆ ต่อให้เราเห็นว่าคนนี้ทำเลวแต่ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย อยู่บ้านเขาอาจจะไม่มีความสุขก็ได้ คนเราต้องมีศรัทธาค่ะ โมไม่ใช่ผู้หญิงจุกจิก ไม่ใช่คนชอบขู่ อาจจะเป็นเพราะคุณแม่โมเป็นแบบนี้ด้วย คือ ไม่มีการมาพูดเล่น เลิกคือเลิก ไม่มีคำว่าดี แต่ถ้าไม่เลิกก็คือไม่เลิก ทุกคนต้องมีพื้นที่ของตัวเอง แล้วเขาก็เป็นคนใช้ชีวิตแบบชิลชิล อะไรก็ได้ จริง ๆ เขาเด็กกว่าโม 2 ปี เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แต่มีความเป็นผู้ใหญ่ ทุกคนจะคิดว่าเขาเป็นพี่หมด (หัวเราะ) ส่วนครอบครัวเขาโมก็ได้เจอแล้ว พ่อแม่โมก็เจอเขาแล้ว ผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไร”

 สุดท้ายอยากจะฝากอะไรถึงแฟนคลับเราบ้าง?
“ก็ต้องขอบคุณแฟนคลับที่คอยสนับสนุนมาโดยตลอด พวกเขาจะรู้ว่าโมเป็นคนยังไง ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือทุกเรื่อง ใครว่าอะไรโมก็คอยไปตามแก้ให้ (หัวเราะ) โมอาจจะยุ่งบ้าง แต่ไม่เคยลืมแฟนคลับ เขาไปกดไลค์รูปตลอด ส่วนใครที่รอชมผลงานของโมจะมีซีรีส์ “(In Time With You) อิน ไทม์ วิท ยู เวอร์ชั่นไทยกับพี่เป้-อารักษ์ ทางช่องพีพีทีวี 36 แล้วก็กำลังถ่ายทำละคร ทีใครทีมัน ทางช่อง 3 ค่ะ” 

หลังจากที่ได้พูดคุยกับสาว โม-มนชนกในครั้งนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาวโมถึงข้ามผ่านจุดที่โดนคนอื่นตัดสินจากแค่ลุคที่เห็นภายนอกมาได้ นั่นเป็นเพราะเธอมีธรรมะในใจ และยังนำมาบาลานซ์ทั้งเรื่องงาน การใช้ชีวิต รวมถึงความรักได้อย่างลงตัวสุด ๆ ทีเดียวค่ะ.

.........................................
อิญรัตน์ กลิ่นหอม : เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ : ภาพ