ข่าว"ไมค์-พิรัชต์" ฝันเป็นจริง ก้าวสำคัญบนเส้นทางฮอลลีวูด - kachon.com

"ไมค์-พิรัชต์" ฝันเป็นจริง ก้าวสำคัญบนเส้นทางฮอลลีวูด
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s
กลับมาพบกับคอลัมน์ “มูฟวี่ โซน” ที่จะพาทุกคนไปเกาะติดทุกเรื่องราวในวงการภาพยนตร์ ทั้งหนังใหม่ หนังไทย หนังเทศ รวมไปถึงบทสัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟของนักแสดงคนโปรด สำหรับ สัปดาห์นี้ พบกับบทสัมภาษณ์พิเศษของนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล ที่เดินตามฝัน โกอินเตอร์แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Misfif ifits” ประกบพระเอก เพียร์ซ บรอสแนน พระเอกตลอดกาล ผู้รับบท เจมส์ บอนด์ 007

จุดเริ่มต้นการเป็นนักแสดงฮอลลีวูดของไมค์?

“ต้องบอกว่าเป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนแรกผมก็จินตนาการไม่ออกว่าจะไปในจุดนั้นจะเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะเมื่อก่อนเรายังทำอะไรไม่ได้ แสดงก็ไม่ได้ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ยังกะโหลกกะลา ตัวเล็ก ๆ หัวโต ๆ อยู่ ยังเป็น กอล์ฟ-ไมค์ แต่เราพยายามพัฒนาตัวเองมาเรื่อย ๆ โฟกัส และทำตามเป้าหมายของเรา ซึ่งก็ไม่ได้ง่าย เพราะถ้าง่ายทุกคนก็คงไปทำกันหมดแล้ว แต่ว่าเราใช้เวลา ใช้ความทุ่มเท มุ่งมั่น ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง (หัวเราะ) เพราะบางทีเราอยากจะยอมแพ้ ดูความฝันริบหรี่ ไม่น่าจะไปถึงได้ แต่พอมาถึงวันนี้เราต้องขอบคุณตัวเองในอดีตที่ไม่ยอมแพ้ ขอบคุณที่เราสตรอง ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร เราเลือกที่จะคิดบวกกับมันและพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสามารถ และทัศนคติ”

การร่วมงานกับ เพียร์ซ บรอส แนน เป็นอย่างไรบ้าง?

“ตื่นเต้นครับ เหมือนเป็นเด็กใหม่ในวงการเลย เจอครั้งแรกเหมือนเราไปพวกพิพิธภัณฑ์ที่เจอรูปโมนาลิซ่า เหมือนไม่ใช่ความเป็นจริง แล้วเขาหล่อมาก คือจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะเกร็งมากกว่านี้ ตอนแรกเข้าไปตื่นเต้น เราก็ถามทีมงานว่าปกติมีลืมบทกันบ้างไหม เขาก็บอกว่าต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว เราก็โล่งสบายใจ เขาก็ชวนเราคุยบ่อยๆ แล้วก็มีบางซีนที่คิดบทกันเองด้วย”


ก่อนที่จะเปิดโปรเจคท์นี้ ไมค์แคสงานมาเยอะมาก?

“พอได้เริ่มเซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ที่อเมริกาก็เริ่มจะมีความหวังก้าวหนึ่งแล้ว แต่ในระหว่างทางก็ต้องมีอะไรที่ทำให้เราหดหู่ ท้อแท้ หรืออยากจะยอมแพ้ ทำไมเราแคสติ้งเยอะจัง ยังไม่เห็นจะได้งานเลย ซึ่งพอเราได้รู้ว่าคนอื่นต้องทำเยอะกว่าเราแค่ไหน เราจะรู้สึกว่าเราสบายกว่าคนอื่นเยอะ บางคนแคสไปเป็น 100 งานแล้วยังไม่ได้เลย ถือว่าไมค์ก็ยังโชคดีที่ได้งานเร็ว”

เป้าหมายตอนนี้ไปไกลแค่ไหน?

“เป้าหมายของผมเขยิบไปทุกปีครับ พอถึงฮอลลีวูดเราก็จะมีเป้าหมายอื่น ๆ เกิดขึ้นมา ผมว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป้าหมายต่อไปของผมคือจะพยายามเข้าไปให้ลึกขึ้นเรื่อย ๆ ในตลาดฮอลลีวูดด้วย โปรเจคท์ต่อไปเขาก็มีเกริ่น ๆ บ้าง หลาย ๆ ที่ พอเรามีการแถลงข่าวที่อเมริกา มีนักแสดงใหม่ที่เป็นคนเอเชีย เป็นเด็กใหม่มาแรง ซึ่งเราจริง ๆ ก็ไม่ได้ใหม่เนอะ (หัวเราะ) ก็มีโปรเจคท์ใหม่ ๆ ที่ติดต่อเข้ามา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่อนาคตครับที่จะไปทิศทางไหนต่อไป”

งานตอนนี้ก็มุ่งไปทางฮอลลีวูดอย่างเดียวเลย?

“ไม่ครับ ก็พยายามบาลานซ์อยู่ เพราะตอนนี้โฟกัสงานที่จีน งานที่จีนตอนนี้ถือว่าดี มีเรื่อย ๆ เดี๋ยวผมต้องกลับไปทำงานที่จีน คือถ้ามันมีโปรเจคท์ที่ดี แล้วเป็นโปรเจคท์ที่น่าสนใจก็รับก่อน ส่วนงานที่ไทย ถ้ามีโอกาสกลับมาแน่นอน”

เห็นไมค์โพสต์ความรู้สึกถึงก่อนหน้านี้ที่มีคนดูถูกเรา?

“จริง ๆ ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ สมมุติ ลองคิดภาพเด็กอายุ 12-13 ปี บอกเราว่าผมจะไปฮอลลีวูดครับ ลองคิดดูว่าสิ่งที่เราจะทำคืออะไร ก็คงหัวเราะ แต่ใครจะรู้ว่าเด็กคนนั้นพูดจริง คนก็จะบอกว่าไอ้นี่มันก็แค่หน้าตาดี แสดงก็ยังไม่ได้ หรือบอกว่าผมคงทำไม่ได้หรอก ภาษาอังกฤษยังพูดไม่ได้ ผมก็ไม่ตอบโต้ เพราะการตอบโต้ก็เสียเวลา สู้เราทำไปเรื่อย ๆ 10-20 ปี สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันผมด้วยส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ผลักดันผมจริง ๆ คือคนรอบข้างที่เป็นกำลังใจ สิ่งเหล่านี้เป็นแค่คนที่บอกผมว่าผมทำไม่ได้ งั้นผมจะทำให้ได้”


อยากบอกอะไรกับคนเหล่านั้นไหม?

ไม่อยากบอกอะไรเลยครับ ผมคิดว่าการกระทำดังกว่าคำพูดอยู่แล้ว และที่ผ่านมา 20 ปีในวงการผมก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่แล้ว ให้เห็นในเรื่องของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เห็นในสิ่งที่ผมทำมากกว่าจะมานั่งพูด เพราะคำพูดของคนเรามันมีค่า แล้วจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องไปแคร์คนเหล่านั้น 20 ปีที่ผ่านมาผมมองอยู่แค่ข้างหน้า เวลาเดียวที่ผมจะหันมามองข้างหลังก็คือเวลาที่ผมหันมามองว่า คนที่ยังอยู่กับผมยังมีใครเหลืออยู่บ้าง ซึ่งก็มีครอบครัว แฟนคลับ พี่น้อง เพื่อน ๆ”

แสดงว่ามีคนที่หายไประหว่างทาง?

“มีแน่นอนครับ มีคนที่หายไประหว่างทางแน่นอน แต่ชีวิตคนเราเราก็ควรเลือกเก็บแค่คนที่เขาอยู่ในวันที่เราลำบากและไม่ทิ้งเรา และเราก็ยังมองกลับไปเรื่อย ๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าเราไม่ได้มาถึงจุดนี้ เพราะเราคนเดียว แต่เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะมีคนที่ช่วยผลักดันเราเวลาที่เราจะล้ม”

ไมค์ผ่านเรื่องอะไรต่าง ๆ มาเยอะ เวลาท้อบอกตัวเองยังไง?

“แค่บอกกับตัวเองว่าอย่ายอมแพ้ครับ เราแค่ต้องเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก ทุกกุญแจต้องมีลูกกุญแจที่เขาสร้างมา ไม่ว่าเจอเรื่องหนักหรือเรื่องเบาเราต้องค่อย ๆ ตั้งสติ และแก้มันไป เราอาจจะท้อบ้าง หรือยอมแพ้บ้าง แต่เราต้องลุก เรานั่งพักได้ แต่จะนั่งพักแล้วเป็นไอ้ขี้แพ้ต่อไป หรือเราจะนั่งพักแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่ก็อยู่ที่การตัดสินใจของเราผมว่า ชีวิตคนเราอยู่กับการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเรื่องใหญ่ ผมมองว่าสำคัญเท่ากันหมด เพราะเรื่องเล็กๆ อาจจะกลายเป็นเรื่องสำคัญในอนาคต การตัดสินใจก็เหมือนดาวบนท้องฟ้าที่เชื่อมต่อกัน ผลของการตัดสินใจของเราอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นอีก1-2 ปี แต่อาจจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า ผมเลยบอกกับตัวเองว่าในทุกๆวันว่าจะทำให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย ทำให้ดีที่สุด”

คิดไหมว่าตอนนี้ตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว?

“คิดว่าประสบความสำเร็จในจุดหนึ่ง แต่ถามว่า เราพอใจกับมันไหม ผมว่ามนุษย์เราไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นหรอก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องไปตรงนั้นต่อ ไปตรงนี้ต่อ ซึ่งผมเป็นคนมีแพชชั่น เป็นคนมีไฟ พอทำตรงนี้แล้ว เราก็อยากไปทำอย่างอื่นต่อ อยากลองไปเป็นผู้กำกับดู ผมว่ามันไม่มีลิมิตในความสามารถของมนุษย์หรอก”

ถามถึงชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัวของไมค์บ้าง?

“เรื่องชีวิตส่วนตัวผมก็ต้องพยายามบาลานซ์ ไม่กี่เดือนก่อน ผมเพิ่งมาคิดได้ว่าเราทำแต่งาน แล้วเราไม่ได้บาลานซ์กับชีวิตส่วนตัวเลย มีช่วงหนึ่งที่ผมพยายามจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกว่าคนเขาทำอะไรกัน ไหนลองชวนกอล์ฟไปกินข้าวสิ เราอยากรู้ว่าคนอื่นใช้ชีวิตยังไง เราอยากจะใช้ดูบ้าง ไม่ใช่กินข้าวก็คุยแต่เรื่องงาน นอนก็คิดเรื่องงาน คิดงานก่อนนอน ทุกอย่างในหัวเป็นเรื่องงานไปหมด ก็เลยพยายามจะดึงตัวเองกลับมาด้วยในส่วนหนึ่ง แต่การบาลานซ์ชีวิตผมคิดว่าทำยากนะ เพราะบางทีมีหลายปัจจัย เราทำงานเพราะมีคนต้องดูแล คนอาจจะบอกว่าวางบ้างก็ได้ คือพูดง่าย แต่ถ้าผมวางแล้วผมจะดูแลคนข้างหลังยังไง ถูกไหมครับ ถ้าผมวางแล้วงานที่ผมทำไว้ คนที่ทำต้องรับผิดชอบล่ะ จะทำยังไงต่อ ผมวางไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือ การบาลานซ์บางส่วนให้ผมพอจะใช้ชีวิตได้บ้าง ให้เวลากับตัวเองให้ของขวัญกับตัวเอง เราทำงานหนักแล้วเราได้อะไรกับตัวเองบ้าง เราอาจจะบอกตัวเองว่าเราไหว เราสู้ แต่จิตใต้สำนึกเราสู้จริง ๆ หรือเปล่า”

แล้วแบ่งเวลาให้แมกเวลล์ยังไง?

“ผมกลับมาครั้งนี้ผมก็ไปหาเขาก่อนเลย พาไปเที่ยว ถ้าอยู่ต่างประเทศก็จะวิดีโอคอล พิมพ์ไปหา ส่งเสียงไปหา พอเจอแล้วเขาก็จะไม่ค่อยอยากให้กลับ เวลาจะกลับเขาก็จะมายืนบังประตูไม่ให้กลับ อยากไปอยู่ด้วย ไปจีนได้ไหม เวลาเราเห็นแบบนี้ก็จุกนะ ก็จะอธิบายกับเขาว่าเราไปทำงานนะ เดี๋ยวจะกลับมา เอาของเล่นมาให้ ส่วนเรื่องโอกาสที่จะไปเที่ยวกันแบบครอบครัวน่าจะยากครับ เพราะแต่ละคนก็ทำงาน ทุกคนมีงานของตัวเอง ก็จะเจอเป็นรอบๆ ครับ”

ไมค์คิดว่าตัวเองทำหน้าที่พ่อได้ดีหรือยัง?

“ก็ยังทำได้ไม่ดีครับ แต่ผมทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ไม่มีใครที่จะเป็นพ่อที่เพอร์เฟกต์หรืออะไรหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมจะให้เขาได้คือให้เขาเป็นคนดี คิดบวก ซัพพอร์ตเรื่องเรียน สอนเรื่องความคิดต่างๆ นานา ผมก็ให้เขาเท่าที่ใหัได้”

ความรักครั้งใหม่ของไมค์?

“ผมอยากจะโฟกัสที่ครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ผมที่อายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตัวเราเองก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ลูกเราก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ผมเลยอยากโฟกัสที่จะดูแลคนรอบข้างผมให้ดีก่อน เพราะถ้าผมไปดูแลใครตอนนี้ไม่ได้ก็จะเสียใจทั้งคู่ และก็เสียเวลา เพราะฉะนั้นตอนนี้ขอดูแลตัวเองให้ได้ ดูแลครอบครัวให้ได้ ดูแลคนที่เรารักให้ดีก่อน”

สุดท้ายอยากให้ไมค์ฝากอะไรถึงแฟน ๆ คนไทยหน่อย?

“อยากจะฝากถึงแฟน ๆ คนไทยนะครับ ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ไม่ได้เจอกันนาน ไว้ว่าง ๆ จะกลับมา หวังว่าจะมีผลงานที่นี่ด้วย ให้ทุกคนได้ดูกัน ตอนนี้ถ้าคิดถึงก็ดูละครที่ไมค์เล่นที่จีนไปก่อน มีมา ออนแอร์ในไทยด้วย แล้วก็อย่าลืมหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกของไมค์ เรื่อง The Misfif its ก็พยายามและตั้งใจมาก ไม่ปลายปีก็ต้นปีหน้า คาดว่าจะได้เห็นทุกโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ยังไงฝากติดตามด้วยครับ”

ยังไงก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้หนุ่มไมค์ได้ไปไกลในเส้นทางที่ฝันไว้นะจ๊ะ.

----------------------------------------
ลิตเติ้ล เคท.