ข่าว'มิวนิค' BNK48 กับบันไดพันขั้นที่ยังต้องก้าวต่อ - kachon.com

'มิวนิค' BNK48 กับบันไดพันขั้นที่ยังต้องก้าวต่อ
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s
เข้าฉายเป็นที่เรียบร้อยสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “SisterS กระสือสยามกับการพิสูจน์ครั้งสำคัญของสาวน้อยวัย 17 ปี มิวนิค-นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล หรือ มิวนิค BNK48”  สัปดาห์นี้ดาวต่างมุมเลยต้องขอนัดมิวนิคมาพูดถึงผลงานชิ้นล่าสุด รวมทั้งให้เจ้าตัวบอกเล่าประสบการณ์ในการเป็นสมาชิกวง BNK48 ด้วยว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ได้เรียนรู้อะไรบ้าง

 การรับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เป็นยังไงบ้าง?
“ก่อนหน้านี้เราเคยผ่านงานแสดงมาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ได้แสดงเต็มตัว ถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกของหนู ตอนแรกเราก็แอบหวั่นใจว่ากระแสตอบรับจะเป็นยังไง เพราะตอนนั้นเรายังไม่ได้เข้ามาอยู่ในวง BNK48 ด้วย ยังไม่มีใครรู้จักหนูเลย ยังคิดเลยว่าพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว คิดยังไง เอาหนูมาเล่นนะ แต่ตอนนี้สบายใจได้แล้วค่ะ อย่างน้อยเมมเบอร์ BNK48 ทั้ง 50 คนก็มาดูหนูแล้ว (ยิ้ม)”

บทบาทของมิวนิค ใน SisterS กระสือสยาม?
“เรื่องนี้หนูรับบทเป็น “โมรา” ค่ะ เป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนแอ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ แต่คุณพ่อกับพี่สาวจะบอกตลอดว่าหนูป่วย เป็นสาเหตุที่หนูจะต้องแยกกันอยู่กับคุณพ่อและก็พี่สาว ไม่สามารถทำกิจกรรมเหมือนเด็กคนอื่นๆ ได้ แต่ไม่มีใครยอมบอกความจริงว่าเราป่วยเป็นอะไร”           

บทบาทนี้ยากมากไหมสำหรับมิวนิค?
“ส่วนที่ยากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้จินตนาการ เพราะว่าแน่นอนว่าหนูไม่เคยเห็นกระสือมาก่อน หนูไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ต้องรู้สึกขนาดไหน โดยเฉพาะซีนที่จะต้องสู้กับกระสืออีกตัวหนึ่งจะสู้ยังไง พี่เขาบอกให้ใช้ไส้สู้ หนูก็แบบหืม...ไส้สู้ แล้วหนูจะสู้ยังไง (หัวเราะ) ส่วนซีนที่ยากที่สุดสำหรับหนู จะมีซีนหนึ่งที่เราต้องฝันประหลาด ไส้มันจะออกมายั้วเยี้ยๆ แล้วก็โดนเลือดทั้งตัว ซึ่งเราก็รู้ว่าเลือดทั้งตัวของเราคือน้ำแดงผสมน้ำเชื่อม แต่ว่าคือหนูโดนราดทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วก็ต้องนอนอยู่ในน้ำแดง แล้วพอราดเสร็จ น้ำแดงมันก็เข้าหน้าเข้าปากเข้าหู แล้วหนูก็ไม่ได้ยินใครเลย นอกจากนั้นก็คือต้องแอ๊คติ้งอีก เพราะว่าพี่เขาบอกให้แสดงเหมือนคนที่มีอะไรกันครั้งแรก คือหนูก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องรู้สึกยังไงใช่ไหมคะ มันก็เลยจะต้องแบบทั้งต้องแสดงแล้วก็น้ำเลือดท่วมตัวอีก ซึ่งหนูเลยคิดว่ามันยากที่สุดและกินพลังเยอะที่สุดแล้วค่ะ”

คาแรกเตอร์นี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากตัวเองยังไงบ้าง?
“เหมือนบ้างนิดหน่อยนะคะ ก็คือในเรื่องจะเป็นคนที่เงียบ ๆ ไม่ได้อารมณ์ดี ร่าเริงมาก เพราะว่าร่างกายตัวเองไม่เอื้ออำนวยด้วย ที่จริงก็ตรงกับหนูนะ เพราะว่าหนูเป็นคนที่ร่างกายสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่เหมือนกัน แล้วก็คล้ายตรงที่เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบๆ แล้วอยู่ในช่วงวัย 16  ปีใกล้เคียงกัน”



คาดหวังไหมกับหนังเรื่องแรก?
“คาดหวังอยู่แล้วค่ะ คือเราไม่ได้คาดหวังให้หนังเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนนะคะ แต่ว่าอยากให้เขาเปิดใจเข้ามาดูก็พอแล้วค่ะ เราอยากให้ทุกคนดูหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ เป็นกระสือ 2019 ไม่ใช่กระสือแบบที่เราเคยรู้จัก และพวกเราก็ทุ่มเทมากจริง ๆ ค่ะ หนังเรื่องนี้ครบรส มีทั้งความสนุกสนาน ดราม่าแอ๊คชั่น ความสัมพันธ์ของพี่น้อง ก็ขอให้ทุกคนรักและช่วยกันสนับสนุนหนังเรื่องนี้ด้วยนะคะ”

นอกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ขออัพเดทผลงานอื่นๆ ของมิวนิคหน่อย?
“มิวนิคเป็นสมาชิกวง BNK48 ค่ะ อยู่มาเกือบจะครบ 1 ปีแล้วค่ะ เร็วมากเลยค่ะ ตอนนี้พวกเราก็เพิ่งออกซิงเกิ้ลใหม่ มีเพลงบีกินเนอร์ (Beginner) เป็นซิงเกิ้ลหลัก และ  Kimi no Koto ga Suki Dakara (คิมิ โนะ โคะโตะ กะ ซุกิ ดะกะระ) เป็นซิงเกิ้ลรอง ซึ่งหนูจะอยู่ในซิงเกิ้ลรองค่ะ เพลงนี้น่ารักมาก ๆ ก็จะแตกต่างกับเพลงบีกินเนอร์สุดขั้วเลย”

ก่อนจะเข้ามาเป็น BNK48 เห็นว่ามิวนิคผ่านงานในวงการมาบ้างแล้วเหมือนกัน?
“ใช่ค่ะ หนูเคยเป็นพิธีกรรายการดิสนีย์คลับ มีงานละคร และงานโฆษณาด้วย แต่ตอนนี้เราก็มาลุยตรงนี้เต็มที่”

ทราบมาว่าตอนแรกมิวนิคไม่ชอบร้องเพลง?
“ใช่ค่ะ ก็เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะสัญญาก็นานด้วย และถ้าเราจะมาเป็นสมาชิก BNK48 ก็ต้องทิ้งทุกอย่างเลย และมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่ก็เหมือนเป็นความท้าทายใหม่ของหนู เราคิดว่าไหน ๆ ก็ได้โอกาสแล้วก็ขอลองก่อน เราอุตส่าห์ฝ่าฟันจากคนเป็นหมื่นคนมาได้แล้ว”

เป็นยังไงบ้างกับการเป็นสมาชิก BNK48?
“ช่วงแรกก็ปรับตัวเยอะค่ะ ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน ระเบียบวินัย การใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพราะจะมีกฎ อย่างเช่น ก่อนจะลงรูปต้องดูว่าติดแบรนด์สินค้าอะไรหรือเปล่า แคปชั่นต้องเป็นกลางที่สุด ไม่พูดถึงแฟนคลับเยอะเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าห้ามเล่นเลย ตอนแรกเราก็วางตัวยากเหมือนกัน เราก็ยอมรับว่ามีความกดดัน เสน่ห์ของ BNK48 คือ เราเป็นเพื่อนกัน แต่ในขณะเดียวกันเพื่อนก็คือคู่แข่งด้วย แล้วเราจะทำยังไงที่จะรักษามิตรภาพนี้ไว้ ขณะเดียวกันตัวเราเองก็ต้องไม่ย่ำอยู่กับที่”

การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง?
“โห...เป็นบรรยากาศที่กดดันนะคะ เพราะเป็นการวัดกันที่ฐานแฟนคลับด้วย ไม่ใช่แค่การตัดสินจากผู้ใหญ่อย่างเดียว หลายคนก็ไม่มั่นใจว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เพราะเราก็ไม่ได้เห็นคะแนนทุกวันด้วย ก็รู้สึกเครียด แต่ก็ดีใจกับคะแนนและตำแหน่งที่ได้มา เราก็จะตั้งใจทำตรงนี้ให้ดีที่สุด”

เห็นเพื่อน ๆ เมมเบอร์หลายคนเสียน้ำตา?
“หนูว่าวันนั้นไม่น่ามีใครไม่ร้อง (หัวเราะ) จริง ๆ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ เสียน้ำตาไปประมาณ 10 ลิตรแล้วมั้ง ช่วงแรก ๆ เราเสียน้ำตาเพราะว่าเรารู้สึกท้อ เราต้องปรับตัวเยอะมากในระยะเวลาแค่นิดเดียว เราต้องซ้อมถึง 4 ทุ่มทุกวัน แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก การบ้านก็ยังไม่ทำ ช่วงแรกเลยจะร้องไห้กับคุณแม่ค่อนข้างบ่อย”



แล้วทุกวันนี้เราแบ่งเวลายังไง?
“ตอนนี้หนูปรับเปลี่ยนแผนการเรียน เพราะเราอยากทำสองอย่างให้ควบคู่กันไปได้  ไม่ทิ้งทั้งสองอย่าง การเรียนทุกวันนี้ก็เรียนกับซีดี เพื่อสอบเทียบวุฒิ ม.6 สังคมเพื่อนมัธยมเราอาจจะหายไป แต่ก็ได้สังคมเพื่อน ๆ BNK48 มาแทน หนูไม่ได้รู้สึกว่าเราขาดอะไรไป  อาจมีบางอย่างที่ต้องแลกกัน แต่เราไม่ได้สูญเสีย เพราะเวลากับสิ่งที่เราทุ่มเทกับตรงนี้ แต่แลกมากับแฟนคลับที่รักเรา”

การเป็นอันเดอร์เกิร์ล สำหรับมิวนิค?
“สำหรับหนูคือมุมใหม่นะ ตั้งแต่หนูเข้า BNK48 มา เราจะได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่มาตลอด ทั้งการเป็นเซ็นเตอร์ของรุ่น 2 และได้ติดซิงเกิ้ลหลักในเพลงต่อมาด้วย หนูเลยคิดว่าการที่เราเป็นอันเดอร์เกิร์ล ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถามว่าตอนแรกเสียใจไหม ก็เสียใจแหละค่ะ เหมือนกับว่าเราพลาดอะไรบางอย่างไป แต่สุดท้ายชีวิตเราจะอยู่แต่จุดนั้นก็ไม่ได้ ทุกอย่างมีขึ้นมีลง และการที่เรามาอยู่ตรงนี้แสดงว่ายังเหลือระยะทางอีกเยอะให้เราเดินขึ้นไป แล้วเราก็จะพยายามเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราอยู่ตำแหน่งไหน ก็ทำให้ตัวเองเป็นเซ็นเตอร์ได้หมด ถ้าเรามีความตั้งใจ และฝึกฝนตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ อย่างรุ่นพี่เขาเข้ามา 2 ปีแล้ว เราเข้ามาปีนึง ประสบการณ์ต่าง ๆ เราก็ยังเทียบไม่ได้ แล้วพี่ ๆ เขาเริ่มจากศูนย์เลยจริง ๆ แต่เราเข้ามาโดยมีพี่ ๆ ปูทางให้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นจะมีความง่ายไป 50 เปอร์เซ็นต์ แต่จะมีความกดดันเพิ่มขึ้นว่าจะทำยังไงที่จะดีได้เหมือนเขา หรือดีกว่าที่เขาเคยทำเอาไว้”

เรียนรู้อะไรจาก BNK48 บ้าง?
“เยอะมากเลยค่ะ การมาอยู่ BNK48 ทำให้เราโตขึ้นทั้งเรื่องทัศนคติ ความคิด ความรับผิดชอบ โตขึ้นทั้งด้านจิตใจ สภาพแวดล้อมที่เราต้องปรับตัวใหม่ ที่สำคัญเลยคงเป็นเรื่องของความพยายามของเรามากกว่า เราอาจจะเหนื่อยในตอนแรก แต่ว่าถ้าวันหนึ่งโอกาสของเรามาถึง ก็คุ้มค่าที่เราเหนื่อย และการอยู่ในวง BNK48 ทำให้เราหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะมีทั้งคนที่เดินมาพร้อมเรา และเดินมาก่อน เรายังเหลือบันไดอีกพันขั้นเลยค่ะ ที่ต้องขึ้นไป”

หลายคนเข้ามาในวงการบันเทิงก็มีเป้าหมาย เช่นอยากมีชื่อเสียง เป้าหมายของมิวนิคคืออะไร?
“จริง ๆ หนูยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ในวงการบันเทิงไปได้อีกนานเท่าไหร่ แต่หนูสนุกกับทุก ๆ วัน เลยไม่ได้คิดมาก หนูจะบอกกับแม่ว่า ม้าหนูยังไม่รู้เลยนะ ว่าถ้าเรียนจบไปแล้ว ถ้าไม่ได้ทำงานในวงการแล้วจะทำอะไรต่อไป จริง ๆ หนูก็มีอีกหนึ่งความฝันคืออยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะเราชอบภาษาอังกฤษ และชอบท่องเที่ยว ชอบไปเจอบรรยากาศใหม่ ๆ ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ และการไปเที่ยวก็เหมือนการไปเปิดหูเปิดตา”

คนจะมองว่ามิวนิคเป็นลุคลูกคุณหนู จริงๆ ตัวตนของเราเป็นยังไง?
“คนจะชอบมองในมุมนั้น แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยนะคะ อาจจะเพราะว่าเรามาสายหวานด้วย ไม่ใช่คนแต่งตัวแนวฮิปเตอร์ แต่จริง ๆ เราเป็นคนสายลุยหน่อย ๆ จะไปที่ไหนก็ตามแต่ ต้องไปเล่นกิจกรรมแอดเวนเจอร์ เช่น ไปกระโดดบันจี้จัมพ์ อยากไปปีนเขา แล้วก็เวลาไปต่าง จังหวัด เช่นไปภาคเหนือก็จะชอบไปนอนเต็นท์ ไม่ชอบนอนโรงแรม การมาอยู่ BNK48 ก็ทำให้คนได้เห็นเราในอีกแง่มุมหนึ่ง”

สุดท้ายอยากให้มิวนิคฝากอะไรถึงแฟนคลับหน่อย?
“ส่วนใหญ่แฟนคลับหนูจะเป็นเด็ก ๆ มีคนที่อายุเท่ากันและเด็กกว่าด้วยก็ต้องบอกว่าขอบคุณแฟนคลับทุกคนมาก ๆ ที่รักในสิ่งที่หนูเป็น เวลาไปงานเขาก็จะพยายามมาอยู่ข้างหน้าเพื่อให้หนูเห็น หนูก็รู้สึกดีนะคะ ว่าอย่างน้อยงานนี้ก็มีคนมาเชียร์เรานะ ก็ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”

เชื่อว่าความตั้งใจและทุ่มเทของมิวนิค จะทำให้สาวน้อยคนนี้ได้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สวยงามอย่างที่วาดฝันไว้แน่นอน.

..........................................................................
นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ : ภาพ