'เชียร์-ฑิฆัมพร' เลือกทางชีวิตสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น
บันเทิง
ไม่เคยทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง สำหรับ นางเอกสาวมากฝีมือ เชียร์ - ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ที่กำลังได้ใจแฟนละครไปเต็ม ๆ ในบท “ฟ้า” นางเอกเจ้าน้ำตาผู้แสนอ่อนโยน จากละคร “ปมรักสลับหัวใจ” ทางช่อง 8 และนอกจากจะเป็นการร่วมงานกับช่อง 8 เป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นการโคจรมาประกบคู่กับพระเอกสุดเทพขวัญใจสาว ๆ แอนดริว เกร้กสัน เป็นครั้งแรก และขึ้นแท่นเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่เป็นที่เรียบร้อย วันนี้ “ดาวต่างมุม” จึงขอคว้าตัวสาวเชียร์มาเจาะลึกถึงความท้าทายใหม่ในชีวิตนักแสดงอิสระครั้งนี้ พร้อมทั้งพูดคุยถึง 17 ปี บนเส้นทางนักแสดงของเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจมาร่วมงานกับช่อง 8 ให้ฟังสักนิด?
“ก่อนหน้านี้ พี่ กุ้ง-บุณฑณิก บูลย์สิน ผู้จัด เขาติดต่อเชียร์มาโดยตลอดว่าอยากร่วมงานกัน แต่ด้วยจังหวะ เวลา อาจจะยังไม่ลงตัว พอมาถึงละครเรื่อง “ปมรักสลับหัวใจ” เป็นจังหวะที่เหมาะสม ทำให้ได้ร่วมงานกัน เชียร์ต้องขอบคุณพี่กุ้งที่ยังนึกถึงเชียร์อยู่ตลอด และทางช่อง 8 ก็ไว้ใจให้เชียร์มาแสดงเรื่องนี้ เพราะละครเรื่องนี้จะออนแอร์ในช่วงเวลาใหม่ที่เป็นละครหลังข่าวที่ไม่เคยมีมาก่อน เชียร์ก็ต้องขอบคุณที่ช่องมั่นใจและให้เกียรติเชียร์ค่ะ”
ในเรื่อง รับบทเป็น “ฟ้า” เห็นว่าเป็นบทที่หนักมากเหมือนกัน?
“เรื่องนี้เป็นละครโรแมนติก ดราม่าที่สุดของเชียร์เท่าที่เคยแสดงมา ตัวละคร “ฟ้า” เป็นคนอ่อนโยนมาก เขาต้องเผชิญเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต ต้องต่อสู้ เมื่อเจอเรื่องสูญเสียหนักหลายครั้งการถ่ายทอดออกมาจึงยากมาก ตอนถ่ายเชียร์ร้องไห้จนตัวแดงเพราะแต่ละครั้งใช้พลังในการถ่ายทอดความรู้สึกที่พังทลายออกมา เชียร์ก็ทุ่มสุดตัวกับเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ นอกจากร้องไห้แล้วยังต้องเจอฉากทรหดอีกเยอะ จะมีเหตุการณ์ความตื่นเต้นในหลาย ๆ โลเกชั่น กึ่ง ๆ ระทึกขวัญ ฉะนั้นสถานที่ที่เข้าไปถ่ายอุปสรรคจะเยอะ เส้นเรื่องตื่นเต้นมีปมที่ต้องรอให้คลายไปทีละปม หักมุมตลอด นอกจากนี้ยังได้นักแสดงเก่ง ๆ มารวมกันเยอะมาก ทำให้รสของละครออกมาเข้มข้นสุด ๆ อยากให้ติดตามชมจนถึงตอนจบนะคะ”
“แอนดริว เกร้กสัน” เป็นพระเอกในดวงใจของเชียร์ รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรก?
“นี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เชียร์รู้สึกว่า ละครเรื่องนี้ต้องสุดแน่ ๆ เพราะแค่เชียร์ได้ร่วมงานกับพี่ดริว เชียร์ก็ดีใจแล้ว แต่พี่ดริวแสดงเป็นฝาแฝด เป็นครั้งแรกที่พี่เขาได้เล่นบทแบบนี้ พอมาร่วมงานกันก็สนุกมาก คนมักจะเกร็งพี่ดริว แบบเกร็งไปเอง แต่เชียร์รู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนขี้เล่น น่ารัก ชอบอำ เชียร์ก็พยายามจะอำเขากลับแต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ก็เป็นคู่จิ้น “แม่หมี” กับ “พ่อแมว” (หัวเราะ) ก็ถือว่าเชียร์โชคดี เพราะพี่ดริวเขามีแฟน ๆ เยอะอยู่แล้ว เชียร์ขออนุญาตแฟน ๆ เรื่องนี้อาจจะต้องมีโมเมนต์อะไรหลาย ๆ อย่างกับพี่เขา เรารู้ว่าแฟน ๆ พี่ดริวเขารักพี่ดริวมาก ยังไงก็อย่าหวงกับน้องเลยนะ (หัวเราะ) เชียร์ก็เป็นแฟนคลับพี่ดริวมาตั้งแต่เด็ก ๆ เราตื่นเต้น เพราะเราชอบเขามาแต่เด็กแล้ววันนี้มาเล่นละครกับเขา แล้วเขาเล่นเป็นแฝด ก็เท่ากับมีสองแอนดริวมารักเชียร์ (หัวเราะ) ก็ตื่นเต้นมากค่ะ”
เชียร์เป็นนักแสดงอิสระเกือบ 4 ปีแล้ว หลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?
“ชีวิตนักแสดงอิสระก็สนุกค่ะ ขอบคุณตัวเราเองเมื่อ 3-4 ปี ที่แล้ว ตัดสินใจแบบนี้ เพราะเส้นทางนี้ทำให้เราเรียนรู้ เติบโตไปอีกแบบนึง รวมทั้งเชียร์ขอบคุณทุกโอกาสที่เข้ามา เพราะเชียร์ได้เดินทางไปร่วมงานกับหลาย ๆ ที่ แต่ละที่ก็จะมีอะไรหลาย ๆ อย่างให้เราเรียนรู้ และนี่แหละคือสิ่งที่เราอยากได้รับจากการเป็นนักแสดงอิสระ ในแง่ของการแสดงเราก็มีความหลากหลายของการทำงาน เพราะตั้งแต่เชียร์เป็นอิสระมา แต่ละเรื่องจะรับบทไม่ซ้ำกันเลย ทั้งแง่ของบทบาทและโทนละคร ทำให้เราเกิดการเรียนรู้เยอะเลยค่ะ”
ยังมีค่ายช่อง หรือ ค่ายไหนมาทาบทามให้เซ็นสัญญาไหม?
“เรื่องเซ็นสัญญาก็มีผู้ใหญ่ที่คุยกันไว้บ้างค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ณ วันที่เราตัดสินใจออกมาเป็นอิสระ มันไม่ใช่แค่เรื่องของงานในวงการอย่างเดียวที่ทำให้เราตัดสินใจ แต่มีเรื่องของธุรกิจที่เชียร์ต้องให้เวลาด้วย ดังนั้น ถ้าเราไม่สามารถให้เวลากับที่ไหนได้เต็มที่มาก ๆ เราก็เกรงใจ เราจึงพูดด้วยเหตุผลว่า ในเมื่อเราต้องให้เวลามากกว่าครึ่งของเราให้กับการทำธุรกิจแล้วถ้าผู้ใหญ่ให้เราเล่นอะไรและเราต้องปฏิเสธเราไม่สามารถทำให้เขาได้ เราจะรู้สึกเกรงใจ ดังนั้นการที่เราเป็นนักแสดงอิสระมันเป็นเรื่องสบายกว่าค่ะ”
เราแบ่งพาร์ทชีวิตที่ต้องดูแลทั้งงานในวงการและธุรกิจของเราอย่างไร?
“เอาจริง ๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าการทำสองอย่างควบคู่กันไปมันหนักหนาอะไร เพราะเวลาเชียร์ทำงานในกองถ่าย เชียร์ก็สนุก แฮปปี้ ได้อำคนโน้น แกล้งคนนี้ และเวลาที่เราไปทำในส่วนของธุรกิจ เราก็เอ็นจอยกับมัน เพราะเราได้ทำงานกับเพื่อน คือ การ์ตูน-นันท์ฐนิชา ซึ่งเราสองคนจะเป็นคนที่เหมือนกัน คือ ทำงานแต่ไม่เหมือนทำงานแต่เหมือนได้อยู่ในสิ่งที่เรารักมากกว่า เรารู้สึกว่า การทำงานคือ ต้องทำงานให้สนุกและมันจะทำให้เรารู้สึกไม่เหนื่อย ถึงคนจะมองว่าเราทำหลาย ๆ อย่าง แต่เรากลับรู้สึกแฮปปี้ อยากตื่นขึ้นมาเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ”
นอกจากงานวงการเชียร์ยังทำงานที่ให้ประโยชน์ต่อสังคม ค้นพบอะไรจากงานเหล่านั้นบ้าง?
“จุดเริ่มต้นจริง ๆ เริ่มมาจากที่เราได้เข้ามาเป็นนักแสดงช่อง 7 ก็มีโอกาสได้ไปช่วยเหลือกลุ่มคนที่ประสบอุทกภัย บางพื้นที่เข้าถึงยาก แต่ความช่วยเหลือกลับเข้าไม่ถึง นั่นเป็นเหตุการณ์จุดประกายให้เชียร์เรียนปริญญาตรีใน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเราอยากให้ปัญหาการช่วยเหลือที่ไม่ทั่วถึงแบบนี้ได้รับความสำคัญจากคนในสังคม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่านี้ เวลาเห็นมูลนิธิที่ดีจำเป็นต้องปิดตัวลงเป็นเรื่องที่ปวดใจสำหรับเชียร์มาก เพราะคนที่ออกมาเสียสละทำงานจิตอาสา เป็นเรื่องที่น่านับถือ แต่กลับไม่มีแรงสนับสนุนให้เขาไปต่อ ฉะนั้นเชียร์อยากให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้มากขึ้นค่ะ”
เจอปัญหาเยอะแอบบั่นทอนกำลังใจของเราบ้างหรือเปล่า?
“เชียร์แค่อยากทำสิ่งที่ดีและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่อยากทำที่สุด คือ อยากทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เพราะเรามีต้นแบบที่ดีที่สุดในชีวิตนั่นคือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ค่ะ สิ่งที่เชียร์ได้เห็นจากพระองค์ คือ ท่านเป็นไม่รู้กี่อาชีพในคนคนเดียว พระองค์ทรงพระปรีชาหลายด้าน 10 นิ้ว 2 มือเรายังนับไม่พอเลย แต่พระองค์ท่านยังทรงคิดถึงประชาชนเสมอ ยังมีเวลาเพื่อทรงมอบสิ่ง
ดี ๆ เพื่อคนอื่นเสมอ ฉะนั้นเชียร์ขอแค่ทำให้ได้แค่เศษเสี้ยวเดียวก็พอแล้วค่ะ”
ภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่แข็งแกร่งแบบนี้มาจากไหน?
“จากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเชียร์เลยค่ะ มองกันจริง ๆ แล้ว คือ ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของการขอบคุณในสิ่งที่เราได้มา ที่มีผลให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ ย้อนกลับไป ทำไมเชียร์ถึงตั้งใจเรียน ก็เพราะว่าพ่อแม่เชียร์ไม่เคยบังคับ พ่อแม่เชื่อใจให้เราเลือกเรียนอะไรก็ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องตั้งใจเรียนเพื่อไม่ให้พ่อแม่เขาถูกครหาว่า เพราะไม่บังคับเรา เราจึงเละเทะ ดังนั้นเวลาเราได้รับโอกาสที่ดีจากใครแล้ว เราต้องทำให้ทุกโอกาสนั้นให้ดี เพื่อไม่ให้สิ่งที่เขามอบให้เราถูกทำลายคุณค่า ด้วยเหตุผลนี้เชียร์ถึงตั้งใจทำงานทุกชิ้น เพื่อมอบให้คนที่รักและให้ใจเรามาเสมอค่ะ”
แต่ชีวิตคนเราก็ต้องเจอเรื่องแย่ ๆ บ้าง เชียร์ล่ะจัดการกับความรู้สึกอย่างไร?
“ทุกครั้งที่เกิดมีเรื่องให้เรารู้สึกท้อเชียร์จะอยู่กับมันไม่นานหรอกค่ะ เพราะเชียร์รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะอยู่กับมันนาน ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกแย่ ยิ่งอยู่กับมันนานยิ่งดิ่งลง คิดง่าย ๆ ก็คือ แล้วเราจะไปอยู่กับสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่ทำไม เชียร์กลับมองมันในแง่ที่ว่าเราได้อะไรจากเรื่องนี้ พอเราหาเจอแล้ว เราไปต่อเลย และให้ตัวเราเองค่อย ๆ ทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้นดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเลยค่ะ”
เรียกว่าทุกวันนี้สามารถภูมิใจในตัวเองได้แล้วหรือยัง?
“เชียร์ภูมิใจในทุกจุดที่ตัวเองได้ทำ แต่ไม่ได้เหลิงไปกับความรู้สึกนั้น ภูมิใจแล้วเราต้องไม่ลืมที่มาของเรา ไม่ลืมว่าได้อะไรจากใคร ไม่ลืมที่จะมองรอบข้างว่าถ้าเราไม่ได้รับอะไรจากใครจะเดินต่อได้อย่างไร เชียร์อยู่วงการมา 17 ปี เกินครึ่งชีวิตทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาสอนเรามากไม่ว่าจะเป็นโอกาส ผู้คน หรืออุปสรรค อยู่ที่เราจะจดจำและมองสิ่งที่เกิดขึ้นมุมไหน อาจจะเดินช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังพยายามเดินมาถึงทุกวันนี้ค่ะ การที่เชียร์ได้เข้าวงการโชคดีมาก ๆ ซึ่งเราจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มองสิ่งรอบข้าง อย่างเช่น ในกองละครที่มีทีมงาน ช่างภาพ ช่างไฟ คนกางร่ม ซับหน้า ช่างแต่งหน้า เวลาพักก็มีคนรีบวิ่งเอาน้ำมาให้ทุกหน้าที่ทำเพื่อเราคนเดียวเพื่อหวังให้เราทำงานออกมาดีที่สุด แล้วแบบนี้เราจะไม่ขอบคุณหรือลืมพวกเขาไปได้ยังไง ดังนั้นเราจะมองตัวเองสูงกว่าคนอื่นไปไม่ได้ถูกไหมคะ”
เรื่องงานดูแฮปปี้ ความรักตอนนี้ล่ะเป็นอย่างไร?
“ตอนนี้เชียร์ไม่มีเรื่องความรักเลย เพราะเชียร์ได้ความรักมามากพอแล้ว นอกจากเรื่องงาน สิ่งที่เชียร์ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ครอบครัว และ น้องหมา (หัวเราะ) เชียร์โชคดีที่แฟน ๆ เขาพร้อมที่จะให้ความรัก ความห่วงใยตลอดเวลา เราเลยรู้สึกขอบคุณพวกเขาเสมอ และไม่ได้รู้สึกว่าเราขาดอะไร ไม่มีอะไรแห้งเหี่ยว เราได้รับการเติมเต็มจากตรงนั้นมาแล้ว ถ้าวันนึงจะมีใครสักคนที่จะมาใช้สถานะว่า “แฟน” เชียร์ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีอีกหนึ่งเรื่อง แต่ ณ ตอนนี้เชียร์รู้สึกว่าที่เชียร์มีอยู่ตอนนี้ เชียร์ก็เป็นคนที่โชคดีมาก ๆ แล้วค่ะ”
ยังไม่เจอใครที่ทำให้เรารู้สึกโชคดีบ้างเลยเหรอ?
“ยังไม่มีเลย (ยิ้ม) เราก็ใช้ชีวิตเราสบาย ๆ อย่างก่อนหน้านี้ที่เชียร์มีข่าวกับคนนั้นคนนี้ ถามว่าอึดอัดไหม เชียร์ก็ไม่อึดอัดนะ เพราะเราอยู่วงการมาตั้งแต่เด็ก เชียร์เข้าใจว่าการที่เราเป็นบุคคลสาธารณะเราต้องถูกจับตามองเรื่องนี้อยู่แล้ว และการที่คนจะสงสัยว่าเราคบกับคนนั้นหรือเปล่า คนนี้หรือเปล่า มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตลอดเวลาเราก็ไม่ได้มีใคร เชียร์ปล่อยความรักให้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่บางทีธรรมชาติมันก็ต้องมากับคำว่า “ใช่” ซึ่ง คำว่า “ใช่” นี่แหละ ที่เรารู้สึกว่าเรายังไม่เจอคนนั้นบวกกับเชียร์ไม่ได้รีบร้อน ตอนนี้ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่ายังไม่เจอใครที่เราคิดว่าใช่ค่ะ”
สำหรับเชียร์คนที่ใช่ต้องเป็นคนแบบไหน?
“เราชอบคนที่เข้าใจเราจริง ๆ แต่มากไปกว่านั้น ทั้งหมดมันก็อยู่ในกรอบของคำว่า คนที่ใช่อยู่ดี เพราะบางทีเราคิดว่าเราชอบคนแบบนี้ แต่พอเจอแล้ว ได้คุยกันแล้วกลายเป็นว่าความรู้สึกข้างในมันยังไม่ตอบเราว่าใช่ ดังนั้นมันเป็นอะไรที่ตอบยากมาก ๆ เลยเพราะแบบนี้คนที่เข้ามาก็เลยต้องผ่านไปค่ะ”
แอบคิดภาพตัวเองตอนมีครอบครัวบ้างหรือเปล่าว่าจะออกมาเป็นแบบไหน?
“ไม่เคยคาดหวังเลยค่ะ บางคนอาจจะมองว่าการแต่งงานเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ผู้หญิงอยากมีภาพนั้นชัดเจน แต่สำหรับเชียร์ ไม่เคยคาดหวังเลย หรือ ใช้คำว่าไม่ได้คิดถึงภาพนั้นเลยก็ได้ ทุกวันนี้เชียร์พยายามสร้างความมั่นคงแข็งแรงให้ตัวเองเพื่อที่เราจะได้เป็นหลักที่ดีให้ครอบครัว พอเราดูแลครอบครัวได้แล้ว เราก็อยากให้ขยายออกไปเรื่อย ๆ เช่น การทำงานการกุศลที่ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่เชียร์พยายามทำตัวเองให้มั่นคงเร็วที่สุด เพราะเราอยากจะเป็นหลักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้มากที่สุดค่ะ”
สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่รักและให้กำลังใจเราเสมอ?
“ก่อนอื่นเชียร์ต้องขอบคุณกำลังใจที่ทุกคนมอบให้เสมอมา17 ปีและขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนสิ่งที่เชียร์ทำในทุก ๆ ด้าน ทั้งธุรกิจ หรือ โครงการเพื่อสังคม ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”
เป็นสาวสวยที่สวยทั้งภายนอกและภายในอย่างแท้จริงสำหรับ “เชียร์-ฑิฆัมพร” สำหรับใครที่ชื่นชอบและอยากสนับสนุนให้สาวคนนี้มีกำลังแรงใจสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ต่อไปก็อย่าลืมติดตามผลงานล่าสุดของเธอในละครเรื่อง “ปมรักสลับหัวใจ” ทางช่อง 8 ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.15 น. ด้วยนะคะ.
....................................................
สมพิศ พุ่มบ้านเส้า : เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ : ภาพ