ข่าว'ก็อต'หวังปาฏิหาริย์ช่วยพ่อ หัวใจหยุดเต้นกลางโรงหนัง - kachon.com

'ก็อต'หวังปาฏิหาริย์ช่วยพ่อ หัวใจหยุดเต้นกลางโรงหนัง
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s

จากกรณีระทึกคุณพ่อของดาราวัยรุ่นชื่อดัง ก็อต-อิทธิพัทธ์ ชักและหัวใจหยุดเต้นกะทันหันขณะกำลังชมภาพยนตร์ จากนั้นนักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ดังกล่าวด้วยจึงรีบทำ CPR ให้เบื้องต้นประมาณ 30 นาที ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากมีข่าวออกไป แฟน ๆ ก็เป็นห่วงอาการของคุณพ่อและสภาพจิตใจของหนุ่มก็อต กันยกใหญ่ ล่าสุดเจอตัวหนุ่มก็อตในงาน "Friends for Life" เลยต้องอัพเดทเรื่องนี้ทันที

ก็อต เผยว่า "อาการของคุณพ่อบอกตามตรงว่าอาการยังทรง ๆ อยู่ ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ก็หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ คือหมอก็บอกว่าอาการคุณพ่อค่อนข้างหนัก ซึ่งตอนที่เราไปเฝ้าคุณพ่อ ท่านก็มีขยับเปลือกตาบ้าง มีน้ำตาไหลบ้าง ซึ่งตรงนี้เราไม่ทราบว่าเป็นสัญญาณที่ดี หรือเป็นระบบปกติของร่างกาย ยังตอบไม่ได้แน่ชัดว่าคุณพ่อดีขึ้นไหม จริง ๆ ตอนแรกคิดแค่ว่า 3 วัน พ่อคงฟื้น และจะดูแลไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้กำหนดว่า 2 สัปดาห์หรือเดือนนึงจะฟื้นไหม คงดูแลไปจนสุดทาง สุดท้ายถ้าผลลัพธ์จะออกมายังไง ก็คงยอมรับผลที่ตามมา ผมบอกตรง ๆ ว่าเวลาเห็นภาพคุณพ่อนั้นค่อนข้างท้อหดหู่ พอเห็นคุณพ่อจะคิดกับตัวเองตลอดว่าทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้เลย แต่พอมาคิดอีกที เราก็ดูแลเขาอย่างเต็มที่แล้ว สุดท้ายก็อยู่ที่คุณพ่อว่าจะสู้สุดทางมากแค่ไหน ในครอบครัวเราผมก็ให้กำลังใจคุณแม่ คนที่หนักที่สุดน่าจะคุณแม่ ก็ให้กำลังใจเขา เดี๋ยวคุณพ่อก็ฟื้น บอกเขาว่าอยู่กับหมอแล้ว"



"จริงๆตอนนี้ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปไม่เยอะในเรื่องการใช้ชีวิต แต่คนสำคัญในครอบครัวล้มป่วย มีการปรับตัวบ้าง มันก็ไม่ชิน เมื่อก่อนอยู่กัน 4 คน ไปไหนมาไหนทำงาน พ่อแม่ไปกองไปเฝ้า ตอนนี้แม่ก็ไม่ได้มา แม่ไปเฝ้าพ่อ ผมไปทำงานคนเดียวก็เหนื่อยหน่อย ซึ่งระหว่างนี้คุณหมอบอกว่าถ้าคุณพ่ออาการดีขึ้นก็จะให้กลับมาที่บ้าน แต่ตอนนี้คุณพ่อยังอาการทรง ๆ ก็เลยยังต้องอยู่ในมือคุณหมอ อย่างเรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่หนักเราก็ประหยัดเอาคือผมอยากให้คุณพ่อฟื้นกลับมาเหมือนเดิมมันเป็นความรู้สึกมากกว่าให้มันดีขึ้น ผมเองก็ไม่ได้รับงานมากขึ้น แต่เรามีงานที่ทำค้างไว้อยู่ ซึ่งถ้ามีงานมามากกว่าปกติก็พร้อมสู้ โชคดีที่ปกติผมเป็นคนประหยัดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ก็ประหยัดมากขึ้น เราอาจจะต้องคิดมากขึ้นว่าจะต้องใช้จ่ายอะไรเพราะเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีก"