'ริท' เผยเคล็ดลับงานสำเร็จอยู่ที่มีความรับผิดชอบ
บันเทิง
นาน ๆ จะมีผลงานมาฝากแฟน ๆ สักที สำหรับหมอ ริท-เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช ที่ล่าสุดได้ประเดิมภาพยนตร์เป็นครั้งแรกใน “สี้น 3 ต่อน” แนวโรแมนติก คอมเมดี้ ที่มีกลิ่นความเป็นอีสานเต็ม ๆ ผลงานค่าย “เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด” โดยเป็นเรื่องราวรัก 3 เส้าสุดฮา ของ ริท ในบท “จิหล่อ” กับเพื่อนรัก เต๋า-เศรษฐพงศ์ เพียงพอ ในบท “สีโห” ที่จะแย่งชิงหัวใจ “ผิผ่วน” แสดงโดย ป๊อบปี้-ชนม์นิภา วิเศษสุด งานนี้ “มูฟวี่ โซน” เลยไม่พลาดนำตัวหนุ่มริทมานั่งพูดคุยถึงความสนุกสนานของหนังเรื่องนี้ พร้อมเปิดมุมมองทั้งบทบาทในวงการบันเทิง และในฐานะนายแพทย์ ประจำโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รวมไปถึงอัพเดทเรื่องความรักกันด้วย
บท “จิหล่อ” มีความเหมือนหรือต่างจาก “ริท” ตรงไหน?
“จิหล่อ” เป็นคนสนุกสนาน มีความเฮฮาอยู่ในตัว บทนี้ก็ค่อนข้างตรงกับตัวริท ในส่วนเตรียมตัว ถ้าเป็นด้านคาแรกเตอร์ มันดีนิดนึงตรงที่ริทสามารถเป็นตัวเองได้ แต่เราต้องเตรียมในเรื่องการถ่าย ทอดออกในลักษณะของหนัง ซึ่งก่อนหน้าริทเคยเล่นแค่ละคร ซีรีส์ และซิทคอม ซึ่งมันใช้วิธีที่แตกต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้มีความเป็นอีสานเต็ม ๆ เนื้อเรื่องถ่ายทำที่อีสานเป็นหลัก ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาอีสานทั้งหมด มาแสดงเรื่องนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ เพราะริทก็เกิดที่อีสาน เรียนที่อีสาน เกินครึ่งชีวิตริทก็อยู่ที่อีสาน ส่วนสิ่งที่เรานำมาใส่ในหนัง ก็จะเป็นพวกมุกตลก คำศัพท์ที่เขาใช้กัน รวมถึงคำที่ลึกมาก ๆ สำหรับคนอีสานจะรู้กัน เราก็หยิบมาใช้ในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ”
ระหว่างการถ่ายทำ มีเรื่องราวสนุก ๆ เล่าให้ฟังบ้างมั้ย?
“เรื่องนี้สนุกจนจำเรื่องที่เครียด ๆ ไม่ได้เลยและเป็นการทำงานที่ลงตัวมาก เรื่องนี้เราได้ถ่ายกับเพื่อน คือเต๋า โลเกชั่นก็อยู่ที่อีสาน ตอนกลับไปถ่ายที่ จ.ขอนแก่น คุณพ่อคุณแม่ก็มาหา พี่ทีมผู้กำกับ และ ป๊อบปี้ นางเอก รวมทั้งคนที่เข้าฉากก็เป็นคนอีสานหมด คุยกันรู้เรื่อง ก็แฮปปี้ทุกอย่างเลยครับ”
นอกจากความสนุกแล้ว อยากให้แฟน ๆ ได้อะไรกลับไป?
“คาดหวังแค่ความสนุกเลยครับ เพราะแก่นเรื่องไม่มีอะไรเยอะแยะ เป็นแค่ผู้ชาย 2 คนเป็นเพื่อนกัน ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน สุดท้ายความแตกมารู้ว่าชอบคนเดียวกัน เลยแย่งกัน แต่ระหว่างทางเรื่องนี้มันจะมีความสนุกเรื่อย ๆ ซึ่งริท เต๋า และน้องป๊อบปี้ก็มีมุกในแบบของตัวเอง อย่างเวลาที่ริทมีมุกสด ริทก็จะแสดงและผู้กำกับก็จะมาเกลา ๆ สิ่งที่ริทได้จากการแสดงเรื่องนี้คือความสนุก และประสบการณ์ที่ได้มาทำงานหนัง ที่ริทไม่เคยทำมาก่อนและนี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งริทคาดหวังกับหนังเรื่องนี้เพราะริททุ่มเท อยากให้ออกมาดีที่สุด ส่วนจะได้กี่ล้านก็ไม่อยากคิดตรงนั้น ปล่อยให้คนดูเขาตัดสินเพราะเราทำเต็มที่ ริทเชื่อว่าคนดูรับรู้ได้ว่าเราเต็มที่และพอเขารู้ว่ามันสนุก เขาก็อยากชวนคนอื่นมาดูเองครับ”
ถามถึงผลงานในวงการปีนี้ มีอะไรให้ดูอีกบ้าง?
“ริทอยากทำผลงานออกมาให้เยอะที่สุดแต่ก็ยากนิดนึง ตอนนี้ริทเรียนต่อด้านผิวหนังความงามด้วย ซึ่งก็จะแบ่งเวลาส่วนนึงมาทำงานในวงการ งานหนังเราได้ถ่ายได้เพราะไม่ได้ล็อกวันแน่นอน แต่ละครหรืองานเพลงที่ต้องใช้เวลา ก็รับยากหน่อยครับ”
ณ ตอนนี้ “ริท” เป็นแพทย์เต็มตัวแล้ว มีวิธีแบ่งการรับงานในวงการและทำงานประจำยังไง?
“ก็เอาเรื่องหมอเป็นเรื่องหลัก เวลาว่างจากนั้นก็มาจัดสรรเวลาเอา งานไหนรับได้ก็รับ งานไหนรับไม่ได้ก็ปฏิเสธแบบเสียดายไปเยอะเหมือนกัน ไม่อยากเป็นตัวถ่วงคนอื่นถ้าถ่ายละครหลายคน แล้วเราคิวยากคนเดียว คนอื่นก็ต้องมาสลับคิวตามเรา ซึ่งปีนี้ก็ปฏิเสธไปหลายเรื่องแล้ว ต้องทำใจเพราะเราบอกตัวเองแล้วว่าจะเอาหน้าที่หมอเป็นหลัก”
เคล็ดลับที่ทำให้ “ริท” ประสบความสำเร็จในหลายอย่าง คืออะไร?
“มีความรับผิดชอบครับ เพราะหลายคนอาจต้องเรียนไปด้วย หาเงินช่วยที่บ้านไปด้วย ถ้าแบ่งเวลาให้ดี เราทำกิจกรรมได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน อย่างตัวริทมีจุดยืนชัดเจนว่า ริทเอาเรียนหรืองานด้านหมอเป็นหลัก ส่วนอย่างอื่นที่เข้ามา ถ้าเราจะรับทุกโอกาสที่เข้าก็เป็นไปไม่ได้หรอก ดังนั้นเราต้องเลือกรับเท่าที่เราพอไหว ไม่กระทบการเรียนและแบ่งเวลาให้ชัดเจนดีกว่า”
มีช่วงเวลาที่เราเหนื่อยหรือท้อมั้ย?
“มีครับ ช่วงนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ เรียนที่ จ.ขอนแก่น ต้องนั่งเครื่องบินมาทำงานที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นมันเหนื่อยและท้อที่สุด ไม่ใช่แค่งานเยอะอย่างเดียว เรียนหนัก ระยะทางก็ไกล ทุกอย่างเป็นอุปสรรคหมดเลย แต่ก็ทำมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็ทำมา 8-9 ปี กลายเป็นความชิน ไม่ได้โฟกัสที่ความเหนื่อย อะไรจะเข้ามาก็เข้ามาเลย ตอนนี้เราแค่จัดสรรเวลาให้ได้ก็พอ แต่ริทโชคดีอย่างนึง คือเวลาท้อหรือเหนื่อย ริทขอนั่งเฉย ๆ ไม่ต้องมีใครมาถามริท ริทประมวลตัวเองได้ ปิดทีวี ปิดมือถือ สักพักจะเริ่มง่วงแล้วหลับไปเอง แต่พอตื่นขึ้นมา ก็ไม่โฟกัสเรื่องนั้นแล้ว โชคดีที่เรื่องแย่ ๆ เราก็ผ่านมันมาได้โดยที่ไม่ต้องไปทุกข์กับมันมาก ริทเป็นคนคิดเยอะนะ แต่อะไรที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ เราก็ไม่ไปมองเป็นเรื่องลบ ๆ ยิ่งโฟกัสมันก็ยิ่งบั่นทอนจิตใจ เลิกคิดดีกว่าครับ”
ทำงานในวงการ 2 วงการ อย่าง แพทย์และบันเทิง ที่คาแรกเตอร์ของวงการแตกต่างกันขนาดนี้ เรามีวิธีปรับตัวยังไง?
“ไม่นะครับ มันจะเป็นของมันโดยอัตโนมัติเอง อย่างงานด้านวงการบันเทิง จะใช้ความเป็นตัวตน ใช้บุคลิกของเราที่สนุกสนาน เราก็ใช้ในการเอนเตอร์เทนแฟน ๆ แต่งานด้านหมอที่เมื่อวันนึงที่เราสวมเสื้อกาวน์ เข้าโรงพยาบาล บุคลิกเราจะเปลี่ยนเอง มันไม่ใช่การแสดง แต่เป็นจิตวิญาณที่เราถูกปลูกฝังตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์จนถึงปัจจุบัน เพราะเรื่องการเจ็บป่วยไม่ใช่เรื่องตลก จะสนุกกับทุกอย่างไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เครียดเกินไปนะ เราต้องมีจุดพอดีของมันในการวางตัวครับ”
ตอนเป็นแพทย์ เคยมีคนไข้ที่รักษากับเราแล้วจำได้ว่าเป็น “ริท” บ้างมั้ย?
“มีครับ บางคนก็จะแค่ทักทายว่านี่คุณหมอริทใช่มั้ย บางคนก็อาจจะหลุดอาการป่วยนิดนึง บางคนอาจกรี๊ดในโรงพยาบาล บางคนอาจแสดงความตื่นเต้นมากเกินไป ริทก็จะบอกว่าใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เราอยู่ในโรงพยาบาล ทำการตรวจก่อนเนอะ ขอริททำหน้าที่แพทย์ก่อน ตรวจเสร็จถ่ายรูปหรืออะไรค่อยว่ากันทีหลังครับ”
คิดว่าเป้าหมายสูงสุดของทั้งวงการแพทย์และนักแสดงของเรา คืออะไร?
“ถ้าเป็นวงการแพทย์ จุดสูงสุดของมันคือถ้าริทเปิดคลินิก ก็อยากมีคลินิกที่คนไข้อยู่ด้วยกันยาว ๆ อยากดูแลเขาตั้งแต่หนุ่มสาว จนถึงแก่ แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนในวงการบันเทิง ความสำเร็จคือแค่ทุกคนจำได้ก็พอแล้ว ไม่ถามว่าริทไหน ก็โอเคแล้ว”
ถ้าให้เลือกสักด้านของการเป็นไอดอล อยากเป็นไอดอลหรือแบบอย่างด้านไหนมากที่สุด?
“ที่เป็นอยู่ริทก็โอเคแล้ว เหมือนได้เป็นแบบอย่างด้านการเรียน ด้านความพยายาม หลายคนมองว่าเรียนไม่เก่งเลย บางคนต้องทำงานช่วยที่บ้าน หรือมีหน้าที่หลายบทบาท ก็อยากบอกให้ดูริทเป็นตัวอย่างก็ได้ เราก็ทำหลายบทบาทเหมือนกัน แต่ริทโอเค ทำออกมาได้ดีนะ เป็นแรงบันดาลใจให้กันและกันต่อไป ก็เป็นไอดอลแนวความมุ่งมั่นพยายามก็โอเครับ”
ถามถึงเรื่องหัวใจบ้าง ตอนนี้เป็นยังไง?
“หัวใจก็ยังว่างและไปเรื่อย ๆ ที่ไม่มีแฟน ไม่ใช่เพราะเกรงใจแฟนคลับ ริทว่าเขารู้ว่าริทโตแล้ว จะมีก็มี แต่ริทไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้ ริทจัดลำดับความสำคัญแรกให้กับการเป็นหมอ ต่อมาคือการทำงานในวงการ เลยไม่ได้โฟกัสว่าจำเป็นต้องมีแฟน มันมีเหงาบ้าง แต่ไม่ได้โฟกัสกับมัน คือถึงคนมีแฟนก็ต้องมีมุมเหงาบ้าง แฟนไม่อยู่ อย่างริทก็มีเรื่องการทำงาน อ่านหนังสือ เจอเพื่อน เวลาในวันนึงก็แทบจะหมดไปแล้ว ก็ไม่มีเวลาเหงามากมายครับ”
มุมมองความรักของเรา ณ วันนี้เป็นยังไง?
“มุมมองความรักตอนนี้คือไปเรื่อย ๆ เดี๋ยววันนึงมันก็เข้ามาเอง ริทก็ไม่ได้พร้อมนะ ยังก่อร่างสร้างตัว ธุรกิจยังไม่มั่นคง ยังดูแลตัวเองแทบไม่ได้เลย อายุริท 28 ปีมันก็เยอะแล้วแหละ แต่มันรอกว่านี้ได้ ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีไปเลยครับ”
ด้วยช่วงวัยริท ณ ตอนนี้ รวมถึงนิสัยและอาชีพของริท คิดว่าคนแบบไหนที่จะมาอยู่ข้างเราได้ มีสเปกพิเศษมั้ย?
“เมื่อก่อนนี้คงเป็นน่ารัก นิสัยดี เข้ากับเราได้ แต่ตอนนี้น่าจะเหลือแค่เขาเข้าใจเราก็พอแล้ว (ยิ้ม) พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากันกับเรา ริทไม่ชอบการทะเลาะ เคลือบแคลงใจ อยู่ด้วยกันแล้วไม่สบายใจ เรื่องอายุไม่ใช่อุปสรรค ซึ่งริทเชื่อพรหมลิขิตนะ คือริทเชื่อว่าฟ้าขีดเส้นมาให้เราแล้ว วันนึงมันจะแฟนหรือเนื้อคู่ เดี๋ยวมันก็มี วันนึงถ้าจะใช่ก็ใช่ครับ ก็รอไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้เศร้า เหงาหงอยรอคอย ตอนนี้ยังสนุกกับการทำงานก่อนครับ”
ท้ายสุดฝากถึงแฟน ๆ ที่คอยให้กำลังมาโดยตลอดหน่อย?
“ขอบคุณแฟนคลับที่ติดตามผลงานริท ริทไม่ได้มีผลงานมาให้ดูเยอะแยะ ขอบคุณที่อดทนรอคอยกัน งานแต่ละชิ้นที่ทำออกมาก็ตั้งใจ ฝากอุดหนุนและติดตาม อย่าง “สี้น 3 ต่อน” ก็เป็นครั้งแรกที่ริทมาถ่ายหนัง และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำอะไรใหม่ ๆ ก็ฝากไปให้กำลังใจด้วย หวังว่าจะชอบกันนะครับ”
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่มีความุม่งมั่นและความคิดของเขาก็เป็นแบบอย่างให้หลายคนได้ดีทีเดียว และอย่าพลาดไปให้กำลังใจ “ริท” กับอีกบทบาทใหม่ได้ ในภาพยนตร์ “สี้น 3 ต่อน” ที่มีคิวเข้าฉายในวันที่ 28 มี.ค ทุกโรงภาพยนตร์.
.............................................
อ้อมเอลฟ์