'โอบ' ใช้การแสดงสื่อสารสิ่งดีๆส่งตรงถึงคนดู
บันเทิง
บทบาท ในภาพยนตร์เรื่อง แสงกระสือ เป็นอย่างไรบ้าง?
“ในเรื่องผมรับบทเป็นน้อย เด็กหนุ่มที่เกิดในต่างจังหวัด แต่พออายุ 10 ขวบก็ย้ายไปอยู่พระนครตามพ่อแม่ ได้พบกับความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์และสิ่งที่พิสูจน์ได้วันหนึ่งเกิดสงครามทำให้พ่อแม่ตาย น้อยจึงต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านที่น้อยอาศัยอยู่บอกว่ามีกระสือในหมู่บ้าน แต่น้อยไม่เชื่อพยายามหาทางพิสูจน์ทุกวิถีทาง แล้วความเชื่อในวิทยาศาสตร์ของน้อยต้องพังทลายลง เพราะดันเจอกระสือเข้าจริง ๆ และคนที่เป็นกระสือคือทราย (มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร) เพื่อนสนิทในวัยเด็กของน้อย แต่น้อยก็ยังคิดว่ากระสือไม่ใช่ผี อาจจะเป็นสัตว์ประหลาด หรืออาการของโรคสักโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ น้อยพยายามหาวิธีรักษาทรายจนเกิดเป็นความรักขึ้นมา นอกจากจะมีเรื่องราวของผีสางแล้ว หนังเรื่องนี้ยังเล่าถึงความรัก ความผูกพันของตัวละคร ให้คนดูได้ลุ้นตามและเอาใจช่วยตัวละครจนลืมเรื่องผีกระสือไปเลยครับ”
เด็กรุ่นใหม่อย่างเราตีความเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับผีสางยังไง?
“ผมเชื่อในเรื่องที่พิสูจน์ได้ และไม่เชื่อว่ามีผีอยู่จริง เพราะเป็นคนกลัวผีและไม่อยากเจอผีด้วย (หัวเราะ) ดังนั้นการตีความของผมคือการคิดว่าตัวเองเป็นตัวละครนั้น ๆ ตีความออกมาตามสิ่งที่เราอยากจะนำเสนอ และเล่นออกมาตามที่ตี ความไว้ สิ่งที่น้อยทำในเรื่องไม่ใช่อธิบายให้คนทั้งหมู่บ้านรู้ว่าไม่มีกระสือ แต่เป็นการทำยังไงก็ได้ให้ทรายหายจากการเป็นกระสือ ไม่ใช่ความเชื่อจ๋าซะทีเดียว แต่เป็นความเชื่อและความจริงที่พิสูจน์ได้ ซึ่งผมเองก็ต้องทำการบ้านหนักเหมือนกัน ถึงจะถ่ายแค่กล้องตัวเดียว แต่ก็เหนื่อยมากครับ เพราะเวลาถ่ายทำส่วนใหญ่คือ 4 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้าของอีกวัน ต้องรับส่งอารมณ์กับเพื่อนนักแสดง ถ่ายกับพร็อพที่เป็นซากสัตว์ มีทั้งฉากร้องไห้ อุ้มคนวิ่ง ต่อสู้กับการไล่ล่า ได้ลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สนุกดีครับ(ยิ้ม)”
คาดหวังกับหนังเรื่องนี้ขนาดไหน เพราะที่ผ่านมาก็เคยเล่นหนังและถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากหลายเวที?
“ในมุมของนักแสดงผมอยากให้คนดูได้เสพคอนเทนต์ดี ๆ แล้วได้อะไรกลับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้คาดหวังว่าหนังจะต้องทำรายได้หรือถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ผมคือนักสื่อสารที่อยากจะส่งข้อความให้คนรับสารเข้าใจในสิ่งที่สื่อออกไป ผมรักษามาตรฐานเดิมของตัวเองทุกครั้งเวลาทำงาน และไม่เอาความสำเร็จในอดีตมาตีกรอบการทำงานปัจจุบัน คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้คนลืมภาพเดิมและรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ดูผลงานของเรา เป็นความกดดันตัวเองอีกรูปแบบหนึ่งที่มาทำให้รู้สึกดาวน์ แต่เป็นการกระตุ้นให้เรามีไฟในการทำงานอย่างเต็มที่และสนุกกับสิ่งที่ทำ”
มีบทบาทไหนที่อยากจะเล่นแล้วยังไม่มีโอกาสได้ลองมั้ย?
“ชีวิตนี้ผมเล่นบทเครียด ดราม่าหนัก ๆ มาเยอะแล้ว คาแรกเตอร์แต่ละเรื่องไม่ซ้ำกันก็จริง แต่ก็ยังไม่เคยเล่นบทคอมเมดี้เลย ถ้ามีโอกาสอยากจะคว้าไว้ ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด แต่ก็อยากจะลองเพื่อพิสูจน์ว่าผมสามารถเล่นได้หลายบทบาท นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเล่นแล้วจะเป็นยังไง แต่รู้สึกว่าบทคอมเมดี้เป็นอะไรที่น่าสนใจดีครับ”
ประสบการณ์ตลอด 6 ปีในวงการบันเทิง ได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้บ้าง?
“ชีวิตในวงการของผมเริ่มต้นจากการถูกดึงออกมาจากบีทีเอสเพื่อมาแคสงานโฆษณาแล้วก็ได้งานเอ็มวีมาตัวหนึ่ง ตอนนั้นปัจจัยหลักคือเงินล้วน ๆ ผมไม่เคยคิดว่าอยู่ดี ๆ จะมีคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมาชื่นชอบในสิ่งที่เราเป็นและติดตามผลงานของเรา เป็นไปได้หรอ เรามีแฟนคลับ ยิ่งใหญ่อะไรเบอร์นี้ นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมอยากจะตอบแทนความรักของแฟนคลับ ด้วยการมอบความสุขผ่านการแสดงที่ผมสื่อสารออกมา วงการบันเทิงทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ได้เรียนรู้วิธีการจัดการชีวิตและรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเร็วกว่าคนอื่น อาชีพนักแสดงทำให้ผมพบเจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมสามารถทำในสิ่งที่ทำไม่เป็นและไม่คิดว่าจะทำได้ได้ สอนให้รู้ว่าเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะหาเงินมาได้แต่ละบาท และรู้สึกภูมิใจมากแค่ไหนที่ซื้อของที่อยากได้ด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง”
ตั้งเป้าหมายในการทำงานในวงการบันเทิงไว้อย่างไร?
“ผมอยากทำงานในวงการไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีคนจ้าง ผมเป็นคนไม่คิดถึงอนาคตระยะไกลว่าจะต้องมีอะไรหรือต้องประสบความสำเร็จในระดับไหน แต่ในอนาคตอันใกล้ที่ใฝ่ฝันอยากจะทำคืออยากจะมีโอกาสได้ลองเล่นหนังของค่ายจีดีเอช ซึ่งเป็นค่ายของตัวผมเอง ผมอยู่กับเขามาหลายปีแล้ว อยากจะตอบแทนสิ่งนี้ให้เขาบ้าง แต่หนังทุกเรื่องของจีดีเอชไม่มีการเขียนบทขึ้นมาโดยเฉพาะ อยากเล่นต้องไปออดิชั่นเท่า นั้น คาแรกเตอร์ของคุณต้องเหมาะสมกับบทบาทของตัวละครเท่านั้นถึงจะได้เล่น หวังว่าจะมีโอกาสสักครั้งครับ
อัพเดทความรักกับ มะปราง-อลิสา ให้ฟังหน่อย เป็นยังไงบ้าง?
“ก็ดีครับ เรื่อย ๆ เราคบกันมา 2 ปีแล้ว ไม่หวือหวาแต่มีความสุข ด้วยความที่ทำงานในเรื่องวงการเหมือนกันทำให้เราเข้าใจกันในเรื่องของเวลาที่ไม่แน่นอน ถ้าว่างตรงกันก็มาเจอ แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรโทรฯ หากันได้ ใช้ชีวิตปกติตามที่คนมีความรักมอบให้กัน เราเลือกที่จะเปิดตัวเพราะมองว่าการมีความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดต่อให้โดนแอนตี้ก็ไม่ได้สนใจ ประสิทธิภาพของการทำงานวัดกันที่ความสามารถ ความตั้งใจ และความพยายามต่างหาก ผมเชื่อว่าความรักกับการทำงานสามารถเดินควบคู่กันไปได้ บางคนมีความรักและเลือกที่จะใช้ความรักเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเขา ตราบใดที่เราตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ การมีความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดครับ”
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่คอยติดตามผลงานเรามาโดยตลอด?
“ขอบคุณทุก ๆ คนที่คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กันมาโดยตลอดนะครับ ฝากภาพยนตร์เรื่องแสงกระสือด้วยนะครับ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลองเปิดใจมาเสพคอนเทนต์ดี ๆ กัน ฝากละครเรื่อง รักไม่ลืม ทางช่องวัน 31และผลงานต่อ ๆ ไปของผมด้วย ส่วนน้อง ๆ คนไหนที่ใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ขอให้น้องมีความเป็นตัวเองให้ดีที่สุด ไม่เดือดร้อนใคร มีความพยายาม ความตั้งใจ หมั่นฝึกฝน รับรองว่าไปถึงเป้าหมายที่วางไว้แน่นอนครับ”
จากการนั่งพูดคุยกับหนุ่ม โอบ-โอบนิธิ ครั้งนี้ เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำเสนอผลงานดี ๆ รวมถึงมุมมองในการทำงานและการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ ฝากแฟน ๆ ติดตามผลงานและเป็นกำลังใจหนุ่มคนนี้ด้วยนะจ๊ะ.
....................................................
ศิรินทร์