'จั๊กกะบุ๋ม'ชีวิตพลิกผัน สูงสุดสู่ต่ำสุดจนคิดฆ่าตัวตาย!
บันเทิง
โดย จั๊กกะบุ๋ม เล่าเรื่องผ่านรายการคุยแซ่บshow พร้อมเผยว่า “ย้อนไปตอนสมัยที่ผมยังพีคๆ ตอนนั้นวิ่งถ่ายละคร 4 เรื่องคือผมอยากได้เงินและสนุกกับการทำงาน ซึ่งกลางวันทำงานถ่ายละคร กลางคืนร้องเพลงในผับรวมๆแล้วเดือนนึงได้ 5 แสนอย่างต่ำ ก็เป็นแบบนี้มาหลายปีเหมือนกัน ซึ่งที่บอกว่าใช้เงินวันละแสนบางวันเกินด้วย(ยิ้ม)ผมเป็นคนชอบซื้อชอบสร้างอิมเมจให้กับตัวเอง สร้างสังคมให้กับตัวเอง ชอบซื้อเสื้อผ้า เสื้อผ้าตลาดนัดตอนนั้นใส่ไม่ได้คือช่วงนั้นมันหลง หูอื้อตามืดตามัว มันคิดอะไรไม่ออก มันมีแต่ความฟุ้งเฟ้อเพราะเงินหาง่าย"
"แต่ที่ชีวิตผมพลิกผันเนื่องจากผมเป็นคนชอบทำ ชอบลงทุนและที่มาหมดจริงๆก็คือหมดกับร้านกาแฟ ซึ่งตอนที่เปิดร้านกาแฟก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองจะดาวน์ลง แต่ยังมีเงินอยู่เป็นก้อนสุดท้าย หมดไปกับร้านกาแฟ 5 ล้านแถวปากเกร็ด แค่เครื่องชงกาแฟก็ 3 แสน วันนึงขายได้ 8 แก้ว มันก็อยู่ไม่ได้ต้องปิดลง แต่ก็ยังไปต่ออีก ไปเปิดร้านกาแฟอีกร้านที่หัวหิน ตอนนั้นขายดีมากขยายสาขาอีก ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันมีแค่ตึกแถว 2 ห้องกั้นกลาง เห็นฝรั่งเยอะก็เลยเปิดร้านสเต็ก ผมเช่าตึกละ 3 หมื่น ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายลูกน้อง ตอนนั้นพอขายไม่ได้เลยมีโปรโมชั่นสเต็ก 9 บาท น้ำ 1 บาท”
“ถามว่าใช้คำว่าหมดตัวได้ไหมคือมันหมดตัวมานานแล้ว แต่มันก็ดื้อรั้น พอหามาได้อีกหน่อยเราก็คิดว่าเอาว่ะลองให้รู้ ตอนนั้นเราคิดว่าการเป็นนักแสดง ดารา ทำอะไรคนน่าจะให้ความสนใจ แต่เราคิดผิดคือผมเริ่มซัพพอร์ตตัวเองไม่ไหว ก็เริ่มยืมคนข้างๆ เจ้าที่ยืมเป็นหลักแสนก็มี แต่เจ้าที่มีปัญหาก็คือ 5 หมื่นคือตอนนั้นผมเจ็บหนักมาจากหัวหินกลับมาอยู่กรุงเทพ งานไม่มี ผมไปขอยืมเพื่อน ขอจนเขาไม่รับโทรศัพท์ผมแล้ว เรียกว่าตอนนั้นตกต่ำมากและไม่มีหนทางจริงๆ ผมเป็นหนี้ประมาณ 3 ล้าน เจ้าหนี้จำหน้าไม่ได้แต่จำชื่อได้ คือตอนที่มีผมใช้จ่ายแบบไม่สนใจเรื่องบ้าน เรื่องรถ ตอนนั้นซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่ไม่สนใจผ่อน เขาก็มายึดไป มีหนี้บัตรเครดิส มีหนี้บ้าน ทุกอย่างที่เป็นหนี้ผมมีหมด”
“ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายเพราะมันคิดอะไรไม่ออก นั่งย้อนถามตัวเองทำไมไม่เก็บเงิน ถ้าเก็บวันนั้น วันนี้จะมีเงิน 20-30 ล้านได้ ตอนนั้นครอบครัวแตกแยกเลิกรากันไป เมื่อก่อนลูกเรียนโรงเรียนเทอมละเป็นแสน ตอนนี้ก็ต้องลดเกรดลงมา ณ ตอนนั้นที่ให้ลูกเรียนแพงๆ ก็เพราะผมไม่มีโอกาสก็เลยอยากให้ลูกได้เรียนที่ดีๆ อยู่ในสังคมดีๆ ตอนนั้นเรามีก็ไม่ได้คิดอะไร ผมผิดหวังกับทุกอย่าง ผมเมาทุกวัน ทีนี้ปกติผมเป็นคนขับรถเร็วอยู่แล้วและวันนั้นกะว่าถึงที่สุดแล้ว ไม่มีเป้าหมาย เมา แล้วมันเฮิร์ตกับความรู้สึกทุกอย่าง ไม่คิดอะไรแล้ว ขับรถเร็วมากมันเป็นภาวะคิดสั้น ผมกะจะชนอะไรก็ได้เพราะผมขับมาเร็วมาก แต่ตอนนั้นรถลงข้างทาง ผมก็ลงจากรถแบบงงๆแล้วโทรหาเพื่อนที่เป็นกู้ภัยบอกว่าให้มาเอารถขึ้นให้หน่อย ผมจะไปทำงาน ตอนเปิดประตูรถออกมาตอนนั้นเป็นช่วงเช้ามืดพอดีเรียกว่าเป็นฟ้าใหม่ของผม ทำให้ผมคิดได้ครับ”