ข่าว'ซานิ' กับ 10 ปีในวงการ ที่ไม่เคยทิ้งโอกาส - kachon.com

'ซานิ' กับ 10 ปีในวงการ ที่ไม่เคยทิ้งโอกาส
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s

โลดแล่นอยู่ในวงการมาถึง 10 ปี สำหรับศิลปินมากความสามารถ ซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ซานิ เอเอฟสุดยอดนักล่าฝันจาก “ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 6” ด้วยบุคลิก และเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ทำให้นอกจากการร้องเพลง ซานิยังมีผลงานอื่น ๆ ให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงละครเวทีบ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ท้าทายดาวต่างมุมเลยถือโอกาสนี้พูดคุยกับซานิถึงเส้นทางว่ากว่าจะประสบความสำเร็จ ผู้หญิงคนนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ถามถึงบทบาทของซานิ ในละครเวที บ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล?
“เรื่องนี้ซานิรับบทเป็นแตงกวาค่ะ อยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้รวยมาก เรียนด้านคหกรรม เพื่อออกมาช่วยแม่ทำร้านอาหาร ด้วยความที่เราเป็นพี่สาวคนโต และเป็นเสาหลักที่ช่วยแม่ดูแลกิจการของทางบ้าน เลยจะไม่ใช่คนเรียบร้อย จะห้าว ๆ แกร่ง ๆ ไม่ค่อยยอมใคร รักความถูกต้อง รักความเป็นธรรม บทบาทก็ค่อนข้างจะใกล้ตัว แต่การแต่งกายในละครเวทีก็จะต่างไปจากตัวจริงหน่อย เพราะจะค่อนข้างหวาน ในส่วนเรื่องการร้องเพลง ต้องบอกว่ายากมากเลยแหละ จริง ๆ ก่อนหน้านี้ซานิเคยเล่นละครเวที ขอให้เหมือนเดิม สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล มาครั้งนี้ก็ได้รื้อฟื้นวิชา และได้รู้จักเพลงสุนทราภรณ์เพิ่มมากขึ้น  เพราะบางเพลงก็ไม่เคยได้ฟัง แล้วพอเป็นเพลงรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ภาษาก็จะยาก แต่โชคดีที่เราเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย เลยชอบที่จะได้อยู่กับภาษาที่สละสลวยแบบนี้  ก็ต้องทำการบ้านกับเพลงนิดหนึ่ง แต่ต้องบอกว่าเป็นละครเวทีที่ทุกคนดูได้นะคะ พอวัยรุ่นพาคุณพ่อคุณแม่ไปดู เลยกลายเป็นว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่มีโอกาสได้ดูแล้วก็บอกว่าสนุก เพราะมุกตลกที่สอดแทรกก็เป็นสถานการณ์ปัจจุบัน กระแสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็เป็นเรื่องราวที่คนชอบอยู่แล้ว”

บรรยากาศตอนซ้อมเป็นอย่างไรบ้าง?
“เรื่องนี้เราได้ร่วมงานกับนักแสดงหลากหลาย อย่าง น้องแป้ง มิตรชัย ก็เป็นการเจอกันครั้งแรก ปกติจะได้ร่วมงานกับพี่เอ-ไชยา คุณพ่อน้องซะมากกว่า ส่วน ปอ-อรรณพ กับ ต้น-ธนษิต เราเคยเจอกันอยู่แล้ว เพราะมาจากบ้านเอเอฟ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกันจริงจังขนาดนี้ บรรยากาศในกองสนุกมาก เพราะเป็นวัยที่ใกล้เคียงกันหมด ตอนซ้อมแต่ละคนก็ปล่อยพลังงานที่ตรงกับคาแรกเตอร์ตัวเอง ซึ่งต้องบอกว่าทางเจเอสแอล เวลาเรียกเรามาทำงานส่วนใหญ่ ก็จะเลือกคนที่ไม่ต่างจากคาแรกเตอร์ตัวละครมากนัก ซึ่งทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น และอินกับตัวละครง่ายขึ้น  ซึ่งตอนนี้เราก็เริ่มทำการแสดงไปแล้วค่ะ ที่เอ็มเธียเตอร์เล่นกันทั้งหมด 10 รอบ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ รอบเวลา 14.00 น. ก็อยากให้ทุกคนได้มาชมกัน”



นอกจากละครเวทีเรื่องนี้ ตอนนี้ซานิมีผลงานอะไรอีกบ้าง?
“ตอนนี้ซานิมีละคร วุ่นรักนักข่าวของทางช่องพีพีทีวีค่ะ มีละคร ศรีอโยธยา 2” ทางช่องทรูที่ยังถ่ายทำอยู่ นอกจากนี้ก็มีงานดีเจช่วงเช้าเวลา 07.30-10.00 น. ทางคลื่น Like FM ( ไลก์ เอฟเอ็ม) แล้วก็มีไปเป็นคอมเมนเตเตอร์ตามรายการต่าง ๆ  พอพ้นจากรายการก็จะเป็นงานร้องเพลง งานอีเวนต์ หรือคอนเสิร์ต ทุกวันนี้ซานิยังเดินอยู่ในเส้นทางนักร้องตามปกติเลย เพียงแต่ว่าคนจะไม่ค่อยคุ้นชิน เพราะมาเห็นเราในรายการทีวีซะเยอะ คืองานในวงการเราทำมาเกือบหมดทุกรูปแบบแล้ว เหลือแค่งานเดินแบบมั้ง (หัวเราะ) ซานิว่าเราโชคดีที่เราได้โอกาสจากผู้ใหญ่ให้ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยทำ และเขาก็ชอบคาแรกเตอร์ที่เราเป็นแบบนี้”

ซานิอยู่วงการมากี่ปีแล้ว?
“10 ปีแล้วค่ะ ตั้งแต่อายุ 24 ปีนี้จะ 34 แล้ว ยอมรับว่าปีนึง ๆ ผ่านไปไวมาก แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองเด็กอยู่นะ ยังรู้สึกวัยรุ่นอยู่ บางทีใช้ร่างกายจนลืมไปว่าเราผ่านเลข 3 มาแล้วนะ คือเราไม่ได้นับ มารู้อีกทีตอนถึงวันเกิด คือพอมาทำงานและอยู่กับน้อง ๆ อยู่กับเพื่อน ๆ เราก็สนุกสนาน เรื่องอายุก็อยู่ในหัวเรานี่แหละ แต่แค่รู้สึกว่าทำไมต้องไปแก่ตามอายุล่ะ ทุกวันนี้เรายังแต่งตัวแบบเด็ก ๆ  บางคนชอบถามว่าอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย เราก็ตอบว่า 30 กว่าแล้วพี่ แต่เรายังแฮปปี้ที่จะใช้ชีวิตแบบนี้อยู่”

ณ วันนี้พอใจกับจุดที่ตัวเองยืนอยู่มากน้อยแค่ไหน?
“ซานิคิดว่าตัวเองโชคดี เราไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับโอกาสต่าง ๆ ถ้าจะขอบคุณต้องขอบคุณเอเอฟก่อน ที่เหมือนเป็นใบเบิกทางให้เราเข้ามาในวงการ แต่ต่อมาคือสิ่งที่คนอื่นเห็นค่าและเห็นความสามารถเราว่าน่าจะทำงานตรงนี้ได้ก็ดึง ๆ กันไปทำ จนคนอื่น ๆ เขาก็เรียกไปทำงานต่อ ซานิว่าตัวเองทรหดอดทนเหมือนกันนะ ที่อยู่มาถึง 10 ปี เพราะตอนออกจากเอเอฟยังบอกเพื่อนเลยว่า เดี๋ยวก็กลับไปร้องเพลงในผับเหมือนเดิม แต่เพื่อนก็บอกว่า โอ้ยไม่มีทางได้กลับมาหรอก พอมาถึงวันนี้แล้วย้อนกลับไปคิดก็ถือว่าเป็นโชคดีของเด็กคนหนึ่ง”

ได้อะไรจากวงการบันเทิงบ้าง?
“ต้องบอกว่าวงการนี้ให้ชีวิตนะ ไม่ใช่แค่ชีวิตซานิคนเดียว แต่ทั้งครอบครัวเลย เราเป็นเด็กที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร ทำงานแบบหาค่ำกินเช้า เราทำงานผับ จริง ๆ ชีวิตเราลำบากนะ แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองลำบาก เพราะเราสนุกที่ได้ออกไปทำงานทุกวัน ได้ไปร้องผับวันละ 3-4 ที่ กลับบ้าน เช้าก็ไปเรียน คือโลกตอนกลางคืนเป็นโลกที่หลายคนกลัว แต่เรากลับเจอคนดี เจอเพื่อนที่ดี เจอสังคมดี เราอาจจะทุกข์แค่ตอนที่เหนื่อย แต่สุดท้ายชีวิตเราก็มีความสุข”



จากการทำงานผับตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้เราเป็นคนอึด?
“ใช่ค่ะ เพราะตอนนั้นซานิเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เคยเป็นดีเจของเคเบิลทีวีช่องหนึ่งก่อนที่จะมาเป็นเอเอฟด้วยนะ ก็ทำงานดีเจช่วงเช้า จัดรายการเสร็จก็ไปเรียนหนังสือ  เข้าเรียนตอน 11 โมง พอเรียนเสร็จตอนบ่าย 3 ก็กินข้าว และออกไปที่ร้านที่เราจะต้องเตรียมตัวเพื่อขึ้นโชว์ และก็ไปต่ออีกหลาย ๆ ที่ เราเลยรู้สึกว่าเราเคยทำงานหนักกว่านี้ และก็ได้เงินน้อยกว่านี้มาก สมัยก่อนเราร้อง 20 เพลง ได้เงิน 400 บาท ก็ดีใจแล้ว กลับบ้านไปอวดแม่  ถือเหมือน 4 หมื่นเลย พอถึงวันหนึ่งที่เรามีโอกาสได้เล่นคอนเสิร์ต มีคนจ้างเรา มีรายได้ที่ดี วันไหนที่เราเหนื่อย เราก็จะบอกตัวเองว่าบ่นทำไมวะ แต่ก่อนเราทำงานหนักกว่านี้อีกนะ อย่าคิดว่าลำบากซิ เพราะสุดท้ายที่เรามาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะโอกาส แล้วถ้าเราทิ้งโอกาส ก็จะกลับไปเท่าเดิม”

หลายคนชมด้วยว่าเข้าวงการแล้วสวยขึ้นมาก?
“แน่นอนค่ะ พอมีเงินแล้วก็หาหมอได้ (หัวเราะ) ความสวยมาทีหลัง ความรวยต้องมาก่อน คือเรายอมรับมาตลอดนะว่าทำ ไม่รู้ว่าจะสตรอเบอรี่ไปทำไม อย่างซานิทำจมูก ฉีดโบท็อกซ์ เราทำในจุดที่เราไม่โอเค เพราะเราต้องดูแลตัวเอง ทุกคนเห็นเราออกทีวี เราดูตัวเองในทีวีแล้วไม่สวยก็ทุกข์ทรมานนะ  คือเราย้อนไปดูรูปตัวเองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็คิดว่าเรามาไกลเนอะ หน้าตอนนี้อ่อนกว่าตอนที่เข้าเอเอฟอีก (หัวเราะ) เราเลยแฮปปี้ที่จะบอกคนอื่นว่าเราทำ แต่เวลามีคนมาขอคำปรึกษาเราว่าไปทำที่ไหน เราจะไม่กล้าบอก เพราะแต่ละคนดวงไม่เหมือนกัน เพราะบางคนบอกว่าไปทำที่นี่แล้วสวยจังเลย แต่อีกคนไปทำแล้วเละก็มี สำหรับใครที่คิดอยากจะทำเพื่อเสริมความมั่นใจก็ทำไปเหอะ แต่ต้องศึกษาให้ดีก่อน เพราะก่อนเราจะตัดสินใจทำก็ศึกษานานเหมือนกัน ส่วนเรื่องใช้แอพพลิเคชั่นปรับให้มันขาวขึ้น ปรับให้สว่างขึ้นก็ต้องมี ถ้าไม่ใช้แอพพลิเคชั่นก็แอ๊บแบ๊วแหละ มีทุกคน”

เข้าวงการมาซานิไม่ค่อยมีข่าวเสียหายนะ?
“ถ้าไม่นับรวมเรื่องที่คนทักว่าเป็นกรดไหลย้อนหรอ หน้าไปทำอะไรมา หรือเรื่องที่เราประกาศกร้าวว่าคบชายหรือหญิงเราได้หมด ก็ไม่ค่อยมีข่าวอะไรนะ ซานิว่าตรงนี้อยู่ที่การวางตัวของเราด้วยนะ คือซานิไม่ได้วางตัวเองว่าเราเป็นคนสุภาพหรืออะไรนะ ทุกคนก็เห็นว่าเราเป็นคนโผงผางแบบนี้ เฮอา เพื่อนเยอะ ไม่ใช่คนหวาน เราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปเลยไม่ค่อยมีอะไรมาก”

ความรักตอนนี้ล่ะดีไหม?
“ถ้าถามเรื่องความรักก็ไม่ค่อยเสถียร คนจะบอกว่าทำไมเวลานักข่าวมาถามแล้วไม่อยากจะตอบ ไม่ใช่เราไม่อยากจะตอบนะ แต่เรากลัวว่าตอบไปแล้วคนนี้จะไม่ใช่  สมมุติว่าวันนี้ตอบว่าคบ พรุ่งนี้ไม่เสถียรอีกแล้วนะ คือเรายอมรับว่าเป็นคนตัดสินใจเร็วมาก เราเปลี่ยนไวมาก เป็นคนลังเล แต่ถามว่าเวลาเรามีความรักทุกครั้งแล้วดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี”
 ที่ไม่เสถียรเพราะตัวเราหรือตัวเขา?
“เป็นที่ตัวเราเองเลยค่ะ อาจเพราะเราเริ่มทำงานตอนอายุ 18-19 เราเลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราจะต้องดูแลจริง ๆ คือครอบครัว เราต้องทำให้พ่อแม่เราสบายก่อนนะ แล้วเรื่องของตัวเองค่อยมาทีหลัง ไม่ใช่พูดให้ดูดีว่าคิดถึงพ่อแม่ก่อนนะ แต่ ณ วันนี้ที่เรามีแรง แต่พ่อแม่เราทำไม่ไหวแล้ว เราก็ต้องทำให้เขาก่อน เรื่องของความรักเราก็เลยเฉย ๆ ไม่ซีเรียส ไม่กดดันตัวเอง”

พอโตขึ้น สเปกลดลงไหม?
“ไม่ลดนะคะ สเปกเราไม่ใช่ว่าต้องหล่อต้องสวย เราวางแค่ว่าทุกวันนี้เราทำงานเหนื่อยมากเลย มีเวลา 24 ชั่วโมง เราทำงานไป 16 ชั่วโมงแล้ว เวลาที่เหลืออีก 8 ชั่วโมง เราต้องมาคิดว่าทำยังไงให้ 8 ชั่วโมงนี้ เรามีความสุข เราคิดแค่นี้เลย สเปกเราคือถ้าเขามาแล้วทำให้เราทุกข์ก็ออกไปเลย ถ้าทะเลาะเกิน 4-5 ครั้ง เรื่องซ้ำซากไปเลยนะ เราไม่ยื้อ เจ็บแค่ไหนก็ไม่ยื้อ ชอบแค่ไหนก็ไม่ยื้อ เพราะเรารู้สึกว่ายื้อไปยิ่งทุกข์ จะยอมจบแบบดี ๆ แบบที่ยังเป็นเพื่อนกันได้ ยังคุยกันได้”



อย่างที่เราประกาศไปว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ ที่บ้านโอเคไหม?
“ตอนแรกก็ไม่โอเคหรอก แต่ตอนนี้โอเคแหละ ตอนแรกเขาก็งง ๆ ว่าลูกเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็มีเพื่อนพ่อแม่ หลายคน บอกว่าลูกเป็นแบบนี้ดีนะ ไม่ต้องไปซีเรียส เพราะสุดท้ายแล้วเขาเป็นคนดี พ่อแม่ก็เลยเฉย ๆ ไปเอง ซานิว่าทุกวันนี้โลกค่อนข้างเปิดกว้างแล้วนะ แม่เราเห็นมีเพื่อนเป็นเกย์ เป็นตุ๊ดก็น่ารักดี เขาเลยมองเป็นเรื่องปกติ ขอแค่เราสบายใจ ไม่ต้องมานั่งเป็นทุกข์ ไม่ต้องมานั่งเครียดว่ากลับบ้านมาแล้วทะเลาะกับแฟนก็โอเคแล้ว ซานิว่าพ่อแม่ทุกคนต้องการเท่านี้แหละ แค่ขอให้ลูกมีความสุข”

แล้วความสุขและทุกข์ที่สุดของซานิคืออะไร?
“ความสุขจริง ๆ ของซานิ คือการได้ทำให้คนอื่นมีความสุขในแต่ละวัน เราเป็นสายเอ็นเตอร์เทน พอเห็นคนยิ้ม คนหัวเราะ จากสิ่งที่เราพูด เราจะรู้สึกว่าดีใจจังเลย แล้วเราก็ได้รับความสุขกลับมาเอง สิ่งที่เราให้เขาเป็นสิ่งที่เราอยากได้นั่นแหละ และความสุขอีกอย่างหนึ่งก็คือยังมีคนเอ็นดูเรา ยังมีคนเมตตาเราอย่างทุกวันนี้ ส่วนเรื่องที่ทุกข์ที่สุด ซานิเคยฟังคำที่คนอื่นด่าเรา เหมือนโลกโซเชียลฯ ตอนนี้แหละเนอะ ก่อนจะคิดได้ว่า อ๋อ...เราไปหยิบมาใส่ใจเอง หลัง ๆ เราเลยไม่หาคำตอบเลยนะว่าเขาด่าเราทำไม แต่จะทำให้ดูเลย เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แล้วคำพวกนี้ก็จะลดน้อยลงไปเองโดยอัตโนมัติ ซานิคิดว่าทุกอย่างอยู่ที่มุมมองนะ ว่าเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่กับสิ่งที่คนอื่นทำให้เราทุกข์”

เคยไหมที่ทุกข์ แต่ต้องเอ็นเตอร์เทนคนอื่น?
“บ่อยมากนะคะ แต่เราเป็นคนขึ้นเวทีแล้วเราลืม เพราะการร้องเพลงเป็นสิ่งที่เรารัก ทุกข์แค่ไหนมาก็ลืม แต่พอลงจากเวทีมา อ้าว..ทุกข์อีกแล้ว เพราะเวลาจบจากงาน เราจะมีเวลานิ่ง ๆ ที่คิดอีกแล้ว เวลาทุกข์มาก ๆ เราก็จะไปดูหนัง ฟังเพลง หาอะไรทำ อีกอย่างหนึ่งการสวดมนต์ช่วยได้จริง ๆ นะ พอสวดมนต์ปุ๊บ นอนหลับสบาย พรุ่งนี้ตื่นมาเดี๋ยวก็ดีขึ้น ซานิว่าอยู่ที่เราจะคิดยังไงมากกว่า ถ้าตื่นมาแล้วยังคิดวนเรื่องเดิมก็ทุกข์เหมือนเดิม แต่ถ้าตื่นมาคิดเรื่องใหม่ แก้ปัญหาใหม่ ทุกอย่างก็จบ”

คติในการใช้ชีวิตของซานิคืออะไร?
“ไปให้สุด ถ้าไม่สุดก็หยุดอยู่บ้านค่ะ (หัวเราะ) คือเราเป็นคนที่ทำอะไรสุดทุกวัน กลับบ้านก็เหมือนดึงปลั๊กออกเลย บางทีตื่นมายังลืมเลยว่าเมื่อวานเราทำอะไร กินอะไร เพราะเราใช้เมมโมรี่หมดไปแล้ว ใช้พลังงานหมดไปแล้ว เราเลยเหมือนได้รีเฟรชตัวเองตลอดว่าต้องเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแล้วนะ บางวันเหนื่อยมากจนน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้เป็นไบโพลาร์หรือเปล่า ก่อนนอน เราร้องไห้ว่าทำไมต้องทำงานหนักขนาดนี้ พอตื่นมาก็ เอ้า...เราต้องใช้เงิน เราต้องทำงาน เราสบายกว่าคนอื่นตั้งกี่เท่า บางคนทำงานหนักกว่านี้อีก เราก็ต้องทำ”

ทุกวันนี้แฟนคลับยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมไหม ฝากอะไรถึงพวกเขาหน่อย?
“แฟนคลับซานิยังเหนียวแน่นอยู่นะ เป็นเรื่องธรรมดาที่บางคนก็ไปตามศิลปินคนอื่น ส่วนคนที่อยู่กับเราตั้งแต่วันแรกก็ยังมี ก็ต้องขอบคุณเขามาก ๆ เพราะเขามาหาเราแล้วเขาไม่ได้อะไรนะ และเขาจะพูดตลอดว่ามาหาแล้วชื่นใจ เราก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ส่วนแฟนคลับที่ตามเราในอินสตาแกรมซานิจำชื่อได้หมดเลยนะ คนที่แท็กรูปมาบ่อย ๆ บางคนนาน ๆ ทีถึงจะมาเจอ มาถ่ายรูปกับเรา แล้วเก็บรูปนั้นเป็นปี จนเราต้องบอกเขาว่ามาหาใหม่ไหมลูก เพราะหน้าอัพเดทมากนะ (หัวเราะ) ตรงนี้เลยเหมือนเป็นแรงใจว่า เรามีคนที่คอยอยู่ซัพพอร์ตข้างหลังนะ อย่างล่าสุดเราจัดงานวันเกิด แฟนคลับก็มากัน 150 คนเลย เราก็ดีใจมาก คิดว่าทำไมเขาดีกับเราขนาดนี้ เราก็รักเหมือนครอบครัวนะ เห็นกันจนไม่ได้เรียกว่าแฟนคลับแล้ว ซานิจะเรียกว่าแม่บ้าง น้องบ้าง คือปกติซานิจะอยู่กับแม่สองคนตลอด คนเหล่านี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่เดียวดาย ก็ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”

แหละนี่...คือ 10 ปีในวงการบันเทิงของผู้หญิงเก่งชื่อซานิ.

..................................................................
นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ : ภาพ