'มินนี่'กระสือหน้าใส ชวนเปลี่ยนมุมมองจากผีร้ายสู่รักที่สวยงาม
บันเทิง
พูดถึงคาแรกเตอร์ “สาย” ให้ฟังหน่อย?
“สายเป็นเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา นิสัยร่าเริงสดใส และมีฝันอยากทำอาชีพพยาบาล แต่พออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ก็ตื่นมาพร้อมกับคนในหมู่บ้านที่โวยวายเรื่องกระสือ ชีวิตเริ่มเกิดปัญหา เรื่องเหล่านี้หล่อหลอมนิสัยให้ “สาย” กลายเป็นคนขี้กลัว แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกระสือรึเปล่า ก็พยายามค้นหา ซึ่งกระสือเวอร์ชั่นนี้มินตีความว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันทางน้ำลาย พอตกกลางคืนก็เหมือนมีอีกตัวตนขึ้นมา ถอดหัวกินของสด ทั้งที่เราไม่อยากเป็น ไม่ได้ตีความว่าเป็นผีอย่างที่คิดเลย คือ “แสงกระสือ” เล่าเรื่องไปอีกแบบนึง ของเดิมเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทำร้ายคนอื่น แต่ในเรื่องคือเรื่องราวของคนที่ไม่อยากเป็นและแค่กินของสดเฉย ๆ ไม่อยากทำร้ายคนอื่นค่ะ”
เป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเราด้วย รู้สึกยังไง?
“ตื่นเต้นนะ มินมีความฝันอยากเล่นหนังมานานแล้ว มินทำการบ้านทุกวัน เราเป็นตัวเดินเรื่องด้วย ก็อยากทำให้ดีที่สุด มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่มินชอบมาก มินเคยเล่นมาทั้งโฆษณา เอ็มวี และละคร ซึ่งไม่เหมือนกันเลย อย่างในละครถ้าตัวละครคิดก็จะพูดออกมา แต่ภาพยนตร์จะพูดผ่านทางสายตา ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่รู้สึกแบบตัวละคร คนที่เข้าไปดูเราก็จะไม่เชื่อเราด้วย เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก สนุกและทำให้มินอัพฝีมือการแสดงไปได้หลายระดับเลย”
คิดว่าได้พัฒนาฝีมือการแสดงด้านไหนที่สุด?
“ได้หลายด้าน แต่ด้านความเชื่อชัดที่สุด ค่ะถ้าเราเชื่อในสิ่งที่ตัวละครเป็น เอาเขามาใส่ในเรา ทุกอย่างจะมาเองอัตโนมัติ ทั้งความรู้สึกผ่านทางสายตาที่สื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด รวมไปถึงเรื่องการขยับร่างกายตอนถอดหัว ตอนนั้นเราเล่นให้พี่โดมดูหลายรอบ แต่พี่เขาบอกยังดูไม่เจ็บปวดมินเครียดมาก กลับบ้านไปร้องไห้เลย แต่พอตัดต่อเสร็จ เห็นที่ตัวเองเล่นก็คิดว่า เออ! เราก็ทำได้”
ความยากของบทบาทนี้คืออะไร?
“ยากตรงที่พอตัวละครนี้เจอปัญหาปุ๊บ ชีวิตดาวน์ลง จะมีตอนที่เราไม่ตั้งใจทำให้ใครตาย ดังนั้นมันต้องถ่ายทอดความรู้สึกผิด ไม่อยากเป็นกระสือ เริ่มเก็บกดขึ้นเรื่อย ๆ และที่ยากอีกอย่างคือการที่เราต้องมากินอะไรแปลก ๆ ในเรื่องเราต้องกินว่านกระสือ ที่เหมือนเป็นยาช่วยให้ไม่กลายร่าง แล้วทีมงานเอากระชายมาย้อมเป็นสีเขียวให้เราเคี้ยว พอคัตเราก็คายออก มินรู้เลยว่าสมุนไพรไทยนี่แสบร้อนมาก ขมคอไปทั้งวัน (หัวเราะ) ส่วนซีนที่มินประทับใจเป็นซีนที่เราดื่มน้ำแล้ววางไว้และมีคนมาดื่มต่อ ซึ่งกระสือติดเชื้อทางน้ำลาย และเขาก็โดนล่าเพราะเรา มันเป็นความรู้สึกผิด เหมือนเราฆ่าเขากลาย ๆ ซีนนี้มินกลับบ้านไปฝึกคิดเล่นเช้าเย็น พอไปเล่นอารมณ์มันได้ เลยประทับใจตัวเองที่ทำได้ค่ะ”
เรื่องนี้เกี่ยวกับ “กระสือ” ซึ่งเป็นความเชื่อของคนไทยด้วย มีเตรียมตัวด้านไหนเป็นพิเศษกับการมารับบทครั้งนี้มั้ย?
“มินทำการบ้านหนักมากค่ะ เราต้องเน้นเรื่องร่างกายด้วย เวลาถอดหัวโพสซิชั่นร่างกายต้องเป็นยังไง ซีนถอดหัวเป็นลองเทค ตอนนั้นนอนเกร็งจนเป็นตะคริวเลย (หัวเราะ) และมีอีกหลายซีนที่ยาก แต่มันทำให้เราได้ประสบการณ์มากขึ้น ทำให้มินชอบการถ่ายทำหนังไปเลย พอแสดงเรื่องนี้เสร็จมินตัดสินใจเลือกเรียนคณะดิจิทัล มีเดีย และศิลปะภาพยนตร์ ที่ ม.กรุงเทพ เราชอบวิธีการถ่ายทำของหนัง เราไปเรียนเพราะอยากรู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเป็นยังไง อยากลองเขียนบท”
ส่วนตัว “มินนี่” ได้ศึกษาเรื่องตำนานหรือประวัติผีกระสือมาก่อนมั้ย?
“ตอนเด็กมินก็เชื่อว่ากระสือเป็นผีที่มีหัวกับไส้ เป็นภาพฝังหัวคนไทย ตอนเด็กเคยถูกพี่ยามในหมู่บ้านหลอกว่า ถ้าไม่รีบกลับบ้าน ตอนกลางคืนผีกระสือจะมากินไส้ แต่พอได้มาเล่นเรื่องนี้ มุมมองกระสือเปลี่ยนไป คือเขาไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่อยู่ ๆ ก็โดนเลือก ติดโรคแบบนี้ขึ้นมา เราไม่ได้อยากเป็น มีคนอยากฆ่าเรา สำหรับหนูกระสือเวอร์ชั่นนี้น่าสงสารนะ เราเล่นแล้วยังสงสาร “สาย” มีช่วงนึงที่เราเล่นไปแล้วตัวละครเริ่มดาวน์เพราะกดดัน ตอนที่โดนล่า พอกลับบ้านมาเราร้องไห้ ตัวละครเครียดแล้วเราดึงความเครียดนั้นมา ซึมไปอยู่พักนึงค่ะ”
กลัวอาถรรพณ์บ้างมั้ย?
“หนูเป็นคนกลัวผี ตอนที่ไปถ่ายทำจะมีโลเกชั่นที่เป็นป่าช้าหลังวัด เราเดินพนมมือตลอดทาง บอกว่ามาถ่ายหนัง หนูไม่ลบหลู่นะคะ (ยิ้ม) หนูไม่เจออาถรรพณ์เลย ส่วนตัวมินเชื่อว่ามีกระสือจริง สมัยนี้ก็อาจยังมีอยู่ก็ได้ เพราะเหมือนคนเป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นความเชื่อที่อยู่กับคนไทยมานานค่ะ”
ตัวละคร “สาย” สอนอะไรให้ “มินนี่” บ้าง?
“สอนหลายอย่างค่ะ มีเรื่องครอบครัว ในเรื่องคุณพ่อ “สาย” เป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ที่ดูแลคนในหมู่บ้าน พอเราเป็นกระสือ ก็เป็นตัวปัญหา ตอนนั้นกระสือเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงมาก ต้องฆ่าทิ้ง เราเลยเลือกไม่บอกพ่อแต่มินรู้สึกว่าถ้าในเรื่องตัวละครนี้เลือกบอกพ่อ ปัญหาคงไม่เกิด พ่อคงช่วย และสอนเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องเพื่อน ได้พิสูจน์มิตรภาพและความรักด้วย”
มาร่วมงานกับ “พี่โดม” ผู้กำกับ เป็นยังไง?
“มินได้อะไรจากพี่โดมเยอะมาก พี่โดมเป็นผู้กำกับที่เข้าใจนักแสดงที่สุด เขาจะคอยบอกตลอด บางซีนที่ในบทให้เราจับมือปลอบเพื่อน แต่เรารู้สึกว่ามันหนักขนาดนี้ เขาทำเพื่อเราได้ขนาดนี้ เราอยากกอดปลอบมากกว่า พี่โดมก็จะรับฟัง เราแชร์ไอเดียกันได้ ในเรื่องนี้ซีนอารมณ์เยอะ พอได้พี่โดมมาช่วยก็ดีขึ้นเยอะค่ะ มินโชคดีที่ได้เจอแต่คนน่ารักร่วมงานด้วย ประทับใจในทุกอย่าง ประทับใจพี่ทุกคนในกอง ทุกคนทุ่มเทหมด ตั้งใจทำเรื่องนี้มาก”
แล้วร่วมงานกับ “โอบ” และ “เกรท” เป็นยังไงบ้าง?
“พี่เกรทเป็นรุ่นพี่ที่ช่อง 7 เคยเรียนการแสดงมาด้วยกัน เวลาคุยกันก็เข้าใจกัน มีอะไรคอยแชร์กัน ส่วนพี่โอบตอนแรกคิดว่าเขาจะเงียบ ๆ แต่พอเปิดกองมา มินโดนพี่โอบต่อยแขน เล่นแรงเหมือนมินเป็นเด็กผู้ชาย แต่พี่โอบน่ารักมาก เขารู้ว่าพอเราเล่นจะเครียด เวลาเข้าซีนด้วยกันก็ชอบแกล้งให้เราหลุด แต่พอสั่งแอ๊คชั่นเล่นจริงเขาเล่นได้ไง แต่เราไม่ได้ (ยิ้ม) เขาพยายามช่วย เรามีซีนจูบกับพี่โอบ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา ก็หลายเทค พี่โอบคอยช่วยบิลต์และทีมงาน มากระซิบว่า เดี๋ยวให้คุณพ่อไปรอตรงโน้นก่อน กลัวพ่อเห็นแล้วรู้สึกไม่ดี พอถ่าย เสร็จก็ถามว่าป๊าไปเดินเล่นที่ไหนมา ป๊าก็ตอบว่ากลับมาเห็นแกเล่นซีนจูบ หน้าแกก็ตึง ๆ (หัวเราะ) บอกไม่ค่อยชอบ เป็นพ่อแล้วมาเห็นลูกสาวจูบ เราก็บอกว่าอย่ามองเป็นมินสิ ให้มองเป็นตัวละคร”
คาดหวังกับกระแสตอบรับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน?
“มินคาดหวังว่าคนที่มาดูแล้วจะอินไปกับเรา สงสาร “สาย” และมองกระสือในมุมที่เปลี่ยนไป อยากให้มาลองดูเพราะมันเป็นการตีความแบบที่ไม่น่ารังเกียจ มินไม่ได้คาดหวังเรื่องรายได้ ถ้าคนดูแล้วชอบในอารมณ์ของเรื่อง ความอบอุ่น ส่วนตัวละครเราก็ต้องมาลุ้นกัน บอกหมดไม่ได้ (ยิ้ม) แต่อยากให้ทุกคนชอบ อยากให้เห็นว่าหนังไทยดี ผีไทยสื่อออกมาได้ขนาดนี้ หนังไทยก็ทำแบบสไตล์ฮอลลีวูดได้ค่ะ”
อัพเดทงานอื่นหน่อย ปีนี้แฟน ๆ จะได้เห็นอะไรอีกบ้าง?
“มินถ่ายละครเรื่อง “ปีศาจหรรษา” เป็นลูกคุณหนูคนเล็กในบ้าน เอาแต่ใจ กับละคร “มธุรสโลกันตร์” เป็น “พลอยน้ำค้าง” ผู้หญิงที่เก็บไปเลี้ยงในวัง ถ่อมตัวเรียบร้อย ส่วนหนังเรื่องใหม่ก็รอดูบทอยู่เพราะมินติดใจงานหนัง ส่วนเป้าหมายในวงการ คือมินอยากดูแลครอบครัวได้ มินชอบการแสดงเพราะสนุก อยากเล่นบทที่ท้าทายที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มิน อยากเลี้ยงน้องได้ แม่มินไม่อยู่แล้ว มินเป็นพี่คนโต ก็อยากช่วยคุณพ่อในการดูแลครอบครัว เราไม่อยากขอเงินคุณพ่อ อยากแบ่งเบาภาระท่านค่ะ”
อัพเดทเรื่องหัวใจ?
“เวลาเราคุยกับใครก็เปิดรูปให้ป๊าดูว่าคนนี้ดีมั้ยแล้วพามาเจอป๊า (ยิ้ม) แต่ตอนนี้ไม่มีเลย มินโฟกัสทุกอย่าง เรารักตัวเองและคนรอบข้างมากที่สุด แล้วคนที่รักเราคงเข้ามาเอง ส่วนสเปกผู้ชาย มินขอคนที่ศีลเสมอกันดีกว่า ส่วนสไตล์ถ้าเลือกได้ชอบผู้ชายเข้ม ๆ สูงเกิน 180 ซม. และต้องรักครอบครัวเหมือนเรา ถ้ารักแค่เราแต่ไม่รักครอบครัวเรา มินก็ไม่เอา มินชอบคนนอกวงการมากกว่า ถ้าเขาทำงานเหมือนเรา ต่างคนคงต่างไม่ว่าง แล้วมินก็ขี้หึงและคิดมากด้วย ณ วันนี้มินเปิดใจ ยังรอคนที่ศีลเสมอกันค่ะ”
ฝากถึงแฟน ๆ?
“ขอฝาก “แสงกระสือ” ในอ้อมอกอ้อมใจคนไทยด้วย เป็นตำนานผีไทยแนวใหม่ที่ไม่มีใครเคยเห็นและเป็นความรักที่สอนหลายอย่าง จะได้เห็นภาพซีจีที่สวยงาม และมีเซอร์ไพร้ส์ในหนังด้วย บอกเลยว่าตื้นตันแน่นอนค่ะ”
ตามมาให้กำลังใจน้อง “มินนี่” ได้ใน “แสงกระสือ” ได้ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ ทุกโรงภาพยนตร์.
........................................
อ้อมเอลฟ์