ข่าว'มินนี่'กระสือหน้าใส ชวนเปลี่ยนมุมมองจากผีร้ายสู่รักที่สวยงาม - kachon.com

'มินนี่'กระสือหน้าใส ชวนเปลี่ยนมุมมองจากผีร้ายสู่รักที่สวยงาม
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s
เรียกว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ สำหรับ แสงกระสือ ภาพยนตร์โรแมนติกทริลเลอร์จากค่าย ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม, เอ็ม พิคเจอร์ส, ซีเจ เมเจอร์ และ นอร์ทสตาร์ สตูดิโอ ที่มีคิวเข้าฉายวันที่ 14 มี.ค.นี้ กำกับโดย โดม-สิทธิศิริ มงคลสิริ ที่หยิบ กระสือ ผีในตำนานที่อยู่คู่ความเชื่อคนไทยมาช้านาน มาตีความในแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน พร้อมลุ้นไปกับรักต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับอมนุษย์ โดยได้นางเอกน้องใหม่ มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร มาถ่ายทอดบทบาทกระสือ ประกบ 2 หนุ่มฮอต โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ และ เกรท-สพล อัศวมั่นคง วันนี้ มูฟวี่ โซน ไม่รอช้า พาแฟน ๆ มาเปิดใจ มินนี่ หรือ กระสือ คิวท์ 2019” สุดเอ็กซ์คลูซีฟถึงบทบาทที่ท้าทาย เรื่องราวสนุก ๆ ในกองถ่าย รวมถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการแสดงครั้งนี้

พูดถึงคาแรกเตอร์สายให้ฟังหน่อย?
“สายเป็นเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา นิสัยร่าเริงสดใส และมีฝันอยากทำอาชีพพยาบาล แต่พออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ก็ตื่นมาพร้อมกับคนในหมู่บ้านที่โวยวายเรื่องกระสือ ชีวิตเริ่มเกิดปัญหา เรื่องเหล่านี้หล่อหลอมนิสัยให้ “สาย” กลายเป็นคนขี้กลัว แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกระสือรึเปล่า ก็พยายามค้นหา ซึ่งกระสือเวอร์ชั่นนี้มินตีความว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันทางน้ำลาย พอตกกลางคืนก็เหมือนมีอีกตัวตนขึ้นมา ถอดหัวกินของสด ทั้งที่เราไม่อยากเป็น ไม่ได้ตีความว่าเป็นผีอย่างที่คิดเลย คือ “แสงกระสือ” เล่าเรื่องไปอีกแบบนึง ของเดิมเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทำร้ายคนอื่น แต่ในเรื่องคือเรื่องราวของคนที่ไม่อยากเป็นและแค่กินของสดเฉย ๆ ไม่อยากทำร้ายคนอื่นค่ะ”

เป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเราด้วย รู้สึกยังไง?
“ตื่นเต้นนะ มินมีความฝันอยากเล่นหนังมานานแล้ว มินทำการบ้านทุกวัน เราเป็นตัวเดินเรื่องด้วย ก็อยากทำให้ดีที่สุด มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่มินชอบมาก มินเคยเล่นมาทั้งโฆษณา เอ็มวี และละคร ซึ่งไม่เหมือนกันเลย อย่างในละครถ้าตัวละครคิดก็จะพูดออกมา แต่ภาพยนตร์จะพูดผ่านทางสายตา ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่รู้สึกแบบตัวละคร  คนที่เข้าไปดูเราก็จะไม่เชื่อเราด้วย เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก สนุกและทำให้มินอัพฝีมือการแสดงไปได้หลายระดับเลย”



คิดว่าได้พัฒนาฝีมือการแสดงด้านไหนที่สุด?
“ได้หลายด้าน แต่ด้านความเชื่อชัดที่สุด ค่ะถ้าเราเชื่อในสิ่งที่ตัวละครเป็น เอาเขามาใส่ในเรา ทุกอย่างจะมาเองอัตโนมัติ ทั้งความรู้สึกผ่านทางสายตาที่สื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด รวมไปถึงเรื่องการขยับร่างกายตอนถอดหัว ตอนนั้นเราเล่นให้พี่โดมดูหลายรอบ แต่พี่เขาบอกยังดูไม่เจ็บปวดมินเครียดมาก กลับบ้านไปร้องไห้เลย แต่พอตัดต่อเสร็จ เห็นที่ตัวเองเล่นก็คิดว่า เออ! เราก็ทำได้”

ความยากของบทบาทนี้คืออะไร?
“ยากตรงที่พอตัวละครนี้เจอปัญหาปุ๊บ ชีวิตดาวน์ลง จะมีตอนที่เราไม่ตั้งใจทำให้ใครตาย ดังนั้นมันต้องถ่ายทอดความรู้สึกผิด ไม่อยากเป็นกระสือ  เริ่มเก็บกดขึ้นเรื่อย ๆ และที่ยากอีกอย่างคือการที่เราต้องมากินอะไรแปลก ๆ ในเรื่องเราต้องกินว่านกระสือ ที่เหมือนเป็นยาช่วยให้ไม่กลายร่าง แล้วทีมงานเอากระชายมาย้อมเป็นสีเขียวให้เราเคี้ยว พอคัตเราก็คายออก มินรู้เลยว่าสมุนไพรไทยนี่แสบร้อนมาก ขมคอไปทั้งวัน (หัวเราะ) ส่วนซีนที่มินประทับใจเป็นซีนที่เราดื่มน้ำแล้ววางไว้และมีคนมาดื่มต่อ ซึ่งกระสือติดเชื้อทางน้ำลาย และเขาก็โดนล่าเพราะเรา มันเป็นความรู้สึกผิด เหมือนเราฆ่าเขากลาย ๆ ซีนนี้มินกลับบ้านไปฝึกคิดเล่นเช้าเย็น พอไปเล่นอารมณ์มันได้ เลยประทับใจตัวเองที่ทำได้ค่ะ”

เรื่องนี้เกี่ยวกับกระสือซึ่งเป็นความเชื่อของคนไทยด้วย มีเตรียมตัวด้านไหนเป็นพิเศษกับการมารับบทครั้งนี้มั้ย?
“มินทำการบ้านหนักมากค่ะ เราต้องเน้นเรื่องร่างกายด้วย เวลาถอดหัวโพสซิชั่นร่างกายต้องเป็นยังไง ซีนถอดหัวเป็นลองเทค ตอนนั้นนอนเกร็งจนเป็นตะคริวเลย (หัวเราะ) และมีอีกหลายซีนที่ยาก แต่มันทำให้เราได้ประสบการณ์มากขึ้น ทำให้มินชอบการถ่ายทำหนังไปเลย พอแสดงเรื่องนี้เสร็จมินตัดสินใจเลือกเรียนคณะดิจิทัล มีเดีย และศิลปะภาพยนตร์ ที่ ม.กรุงเทพ เราชอบวิธีการถ่ายทำของหนัง เราไปเรียนเพราะอยากรู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเป็นยังไง อยากลองเขียนบท”



ส่วนตัว
มินนี่ได้ศึกษาเรื่องตำนานหรือประวัติผีกระสือมาก่อนมั้ย?
“ตอนเด็กมินก็เชื่อว่ากระสือเป็นผีที่มีหัวกับไส้ เป็นภาพฝังหัวคนไทย ตอนเด็กเคยถูกพี่ยามในหมู่บ้านหลอกว่า ถ้าไม่รีบกลับบ้าน ตอนกลางคืนผีกระสือจะมากินไส้ แต่พอได้มาเล่นเรื่องนี้ มุมมองกระสือเปลี่ยนไป คือเขาไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่อยู่ ๆ ก็โดนเลือก ติดโรคแบบนี้ขึ้นมา เราไม่ได้อยากเป็น มีคนอยากฆ่าเรา สำหรับหนูกระสือเวอร์ชั่นนี้น่าสงสารนะ เราเล่นแล้วยังสงสาร “สาย” มีช่วงนึงที่เราเล่นไปแล้วตัวละครเริ่มดาวน์เพราะกดดัน ตอนที่โดนล่า พอกลับบ้านมาเราร้องไห้ ตัวละครเครียดแล้วเราดึงความเครียดนั้นมา ซึมไปอยู่พักนึงค่ะ”

กลัวอาถรรพณ์บ้างมั้ย?
“หนูเป็นคนกลัวผี ตอนที่ไปถ่ายทำจะมีโลเกชั่นที่เป็นป่าช้าหลังวัด เราเดินพนมมือตลอดทาง บอกว่ามาถ่ายหนัง หนูไม่ลบหลู่นะคะ (ยิ้ม) หนูไม่เจออาถรรพณ์เลย ส่วนตัวมินเชื่อว่ามีกระสือจริง สมัยนี้ก็อาจยังมีอยู่ก็ได้ เพราะเหมือนคนเป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นความเชื่อที่อยู่กับคนไทยมานานค่ะ”

ตัวละครสายสอนอะไรให้มินนี่บ้าง?
“สอนหลายอย่างค่ะ มีเรื่องครอบครัว ในเรื่องคุณพ่อ “สาย” เป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ที่ดูแลคนในหมู่บ้าน พอเราเป็นกระสือ ก็เป็นตัวปัญหา ตอนนั้นกระสือเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงมาก ต้องฆ่าทิ้ง เราเลยเลือกไม่บอกพ่อแต่มินรู้สึกว่าถ้าในเรื่องตัวละครนี้เลือกบอกพ่อ ปัญหาคงไม่เกิด พ่อคงช่วย และสอนเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องเพื่อน ได้พิสูจน์มิตรภาพและความรักด้วย”

มาร่วมงานกับพี่โดม”  ผู้กำกับ เป็นยังไง?
“มินได้อะไรจากพี่โดมเยอะมาก พี่โดมเป็นผู้กำกับที่เข้าใจนักแสดงที่สุด เขาจะคอยบอกตลอด บางซีนที่ในบทให้เราจับมือปลอบเพื่อน แต่เรารู้สึกว่ามันหนักขนาดนี้ เขาทำเพื่อเราได้ขนาดนี้ เราอยากกอดปลอบมากกว่า พี่โดมก็จะรับฟัง เราแชร์ไอเดียกันได้ ในเรื่องนี้ซีนอารมณ์เยอะ พอได้พี่โดมมาช่วยก็ดีขึ้นเยอะค่ะ มินโชคดีที่ได้เจอแต่คนน่ารักร่วมงานด้วย ประทับใจในทุกอย่าง ประทับใจพี่ทุกคนในกอง ทุกคนทุ่มเทหมด ตั้งใจทำเรื่องนี้มาก”



แล้วร่วมงานกับโอบและเกรทเป็นยังไงบ้าง?
“พี่เกรทเป็นรุ่นพี่ที่ช่อง 7 เคยเรียนการแสดงมาด้วยกัน เวลาคุยกันก็เข้าใจกัน มีอะไรคอยแชร์กัน ส่วนพี่โอบตอนแรกคิดว่าเขาจะเงียบ ๆ แต่พอเปิดกองมา มินโดนพี่โอบต่อยแขน เล่นแรงเหมือนมินเป็นเด็กผู้ชาย แต่พี่โอบน่ารักมาก เขารู้ว่าพอเราเล่นจะเครียด เวลาเข้าซีนด้วยกันก็ชอบแกล้งให้เราหลุด แต่พอสั่งแอ๊คชั่นเล่นจริงเขาเล่นได้ไง แต่เราไม่ได้ (ยิ้ม) เขาพยายามช่วย เรามีซีนจูบกับพี่โอบ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา ก็หลายเทค พี่โอบคอยช่วยบิลต์และทีมงาน มากระซิบว่า เดี๋ยวให้คุณพ่อไปรอตรงโน้นก่อน กลัวพ่อเห็นแล้วรู้สึกไม่ดี พอถ่าย เสร็จก็ถามว่าป๊าไปเดินเล่นที่ไหนมา ป๊าก็ตอบว่ากลับมาเห็นแกเล่นซีนจูบ หน้าแกก็ตึง ๆ (หัวเราะ) บอกไม่ค่อยชอบ เป็นพ่อแล้วมาเห็นลูกสาวจูบ เราก็บอกว่าอย่ามองเป็นมินสิ ให้มองเป็นตัวละคร”

คาดหวังกับกระแสตอบรับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน?
“มินคาดหวังว่าคนที่มาดูแล้วจะอินไปกับเรา สงสาร “สาย” และมองกระสือในมุมที่เปลี่ยนไป อยากให้มาลองดูเพราะมันเป็นการตีความแบบที่ไม่น่ารังเกียจ มินไม่ได้คาดหวังเรื่องรายได้ ถ้าคนดูแล้วชอบในอารมณ์ของเรื่อง ความอบอุ่น ส่วนตัวละครเราก็ต้องมาลุ้นกัน บอกหมดไม่ได้ (ยิ้ม) แต่อยากให้ทุกคนชอบ อยากให้เห็นว่าหนังไทยดี ผีไทยสื่อออกมาได้ขนาดนี้ หนังไทยก็ทำแบบสไตล์ฮอลลีวูดได้ค่ะ”

อัพเดทงานอื่นหน่อย ปีนี้แฟน ๆ จะได้เห็นอะไรอีกบ้าง?
“มินถ่ายละครเรื่อง “ปีศาจหรรษา” เป็นลูกคุณหนูคนเล็กในบ้าน เอาแต่ใจ กับละคร “มธุรสโลกันตร์” เป็น “พลอยน้ำค้าง” ผู้หญิงที่เก็บไปเลี้ยงในวัง ถ่อมตัวเรียบร้อย ส่วนหนังเรื่องใหม่ก็รอดูบทอยู่เพราะมินติดใจงานหนัง ส่วนเป้าหมายในวงการ คือมินอยากดูแลครอบครัวได้ มินชอบการแสดงเพราะสนุก อยากเล่นบทที่ท้าทายที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มิน อยากเลี้ยงน้องได้ แม่มินไม่อยู่แล้ว มินเป็นพี่คนโต ก็อยากช่วยคุณพ่อในการดูแลครอบครัว เราไม่อยากขอเงินคุณพ่อ อยากแบ่งเบาภาระท่านค่ะ”



อัพเดทเรื่องหัวใจ?
“เวลาเราคุยกับใครก็เปิดรูปให้ป๊าดูว่าคนนี้ดีมั้ยแล้วพามาเจอป๊า (ยิ้ม) แต่ตอนนี้ไม่มีเลย มินโฟกัสทุกอย่าง เรารักตัวเองและคนรอบข้างมากที่สุด แล้วคนที่รักเราคงเข้ามาเอง ส่วนสเปกผู้ชาย มินขอคนที่ศีลเสมอกันดีกว่า ส่วนสไตล์ถ้าเลือกได้ชอบผู้ชายเข้ม ๆ สูงเกิน 180 ซม. และต้องรักครอบครัวเหมือนเรา ถ้ารักแค่เราแต่ไม่รักครอบครัวเรา มินก็ไม่เอา มินชอบคนนอกวงการมากกว่า ถ้าเขาทำงานเหมือนเรา ต่างคนคงต่างไม่ว่าง แล้วมินก็ขี้หึงและคิดมากด้วย ณ วันนี้มินเปิดใจ ยังรอคนที่ศีลเสมอกันค่ะ”

ฝากถึงแฟน ๆ?
“ขอฝาก “แสงกระสือ” ในอ้อมอกอ้อมใจคนไทยด้วย เป็นตำนานผีไทยแนวใหม่ที่ไม่มีใครเคยเห็นและเป็นความรักที่สอนหลายอย่าง จะได้เห็นภาพซีจีที่สวยงาม และมีเซอร์ไพร้ส์ในหนังด้วย บอกเลยว่าตื้นตันแน่นอนค่ะ”
        
ตามมาให้กำลังใจน้องมินนี่ได้ในแสงกระสือได้ในวันที่ 14 มี..นี้ ทุกโรงภาพยนตร์.

........................................
อ้อมเอลฟ์