'น้ำหวาน'มาไกลเกินฝัน กับเส้นทางที่ฝ่าฟันจนได้ดี
บันเทิง
ฟีดแบ็กจากละคร “ตุ๊กตาผี” เป็นยังไงบ้าง?
“เรื่อง “ตุ๊กตาผี” น้ำหวานรับบทเป็น “ม่านฟ้า” ค่ะ เรื่องนี้จะร้ายแบบน่าหมั่นไส้ เพราะตัวละครจะมีความโลภ อยากมี อยากได้ อยากเอาทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ถ้าใครเข้ามาขัดขวางก็จะทำทุกอย่าง ฆ่าได้ฆ่า สำหรับฟีดแบ็กที่ออกมาเราก็พอใจและดีใจนะคะ ถ้าเล่นร้ายแล้วมีคนเกลียดถือว่าโอเค (หัวเราะ) พอเรามานั่งดูตัวเองก็ยอมรับว่าในตอนแรก ๆ อาจจะยังไม่สมูทเท่าไหร่ เพราะบทบาทค่อนข้างไกลตัวเรามาก แต่ช่วงท้าย ๆ เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น ค่อย ๆ พัฒนาค่ะ”
จากละครเรื่องนี้ ทำให้คนจำเราได้มากขึ้น?
“เมื่อก่อนจะมีคนเรียกเราว่า “น้ำหวาน เดอะเฟซฯ” แต่เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนคนจะเรียกว่า พี่ม่านฟ้าแล้ว ก็ดีใจที่คนจำเราได้ แสดงว่ามีคนดูและติดตามเราอยู่ ตอนนี้เรื่องราวก็กำลังพีคขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการเล่าจุดจบของตัวละครแล้ว ยังไงก็ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ แล้วมาลุ้นกันว่าบทสรุปของม่านฟ้าจะจบลงแบบไหน ซึ่งเรื่องนี้สอนคนดูว่าคนที่ทำความดีถึงจะไม่ได้เห็นผลทันทีก็อย่าสิ้นหวัง เพราะสุดท้ายวันหนึ่งเราจะเห็นได้ผลของความดีนั้น แล้วคนชั่วก็จะแพ้ภัยตัวเอง”
นอกจากตุ๊กตาผีหลังจากนี้มีผลงานอะไรให้ได้ชมกันอีก?
“น้ำหวานเพิ่งแถลงข่าวเปิดตัวละครเรื่อง “แพศยา” กับทางช่อง พีพีทีวี เรื่องนี้ไม่เชิงว่ารับเป็นบทร้าย แต่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครชื่อ “ดาว” ว่ากว่าจะขึ้นมาถึงจุดที่สูงที่สุด เขาต้องแลกอะไรมาบ้าง จากหญิงสาวชาวบ้านที่โตมาจากสลัม เคยโดนพ่อเลี้ยงข่มขืน แล้วไต่เต้ามาเป็นดารา เขาก็เลยมีปมในใจว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ จะทำยังไงให้ชีวิตดีกว่านี้ เรื่องนี้น่าจะถ่ายทำช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. นี้ค่ะ หนูยังคุยกับผู้กำกับเลยว่าถ้าได้อ่านบทเต็ม ๆ ต้องเครียดมากแน่ ๆ เลย เพราะตัวละครนี้ได้กับผู้ชายเกือบทั้งเรื่องเลย (หัวเราะ) ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ “ฝ่าดงพยัคฆ์” ทางช่องพีพีทีวี เรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติก บู๊-แอ๊คชั่น น่าจะออนแอร์ช่วงกลางปีนี้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ถ่ายทำเสร็จไปแล้วคือ “ปะการังสีดำ” เห็นว่าน่าจะได้ดูกันในปีนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าเดือนไหนค่ะ”
จากบทนางเอกเรื่องแรกใน ปะการังสีดำ พอช่วงหลัง ๆ ต้องมารับบทร้าย เราคิดเยอะไหม?
“จริง ๆ คิดไม่เยอะนะคะ เราถือเป็นโอกาสที่ดีที่เคยได้รับบทนางเอก พอได้มารับบทร้ายก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีที่เราจะได้แสดงฝีมือ เพราะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เป็นอะไรที่ท้าทายการแสดงของเราด้วย เรารู้สึกว่าได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ได้ขุดด้านมืดของตัวเองออกมา และจริง ๆ การเล่นร้ายเป็นอะไรที่ใช้พลังงานเยอะมาก อย่างวันไหนที่เราถ่ายร้ายทุกซีน ก็จะนอยด์ ๆ เหนื่อย ๆ กลับบ้านไปก็ไม่พูดกับใครเลย เพราะกลัวจะไปหงุดหงิดใส่เขา อย่างมีช่วงหนึ่งสามีก็มีถามเหมือนกันว่าเป็นอะไรทำไมหงุดหงิดง่ายจัง เราก็บอกอ้าว...หรอ เราไม่รู้ตัวเลย”
ตัวตนจริง ๆ ของน้ำหวาน เป็นยังไง?
“จริง ๆ หนูเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร แต่ถ้าได้รู้จักแล้ว เราจะเป็นคนพูดไม่หยุดเลย แล้วเราจะคุยได้ทุกเรื่องเหมือนเด็กเลย อย่างช่างแต่งหน้าที่กอง เขาก็บอกว่าตอนแรกพี่เจอน้ำหวานอีกเรื่องหนึ่งที่มาถ่ายกันสั้น ๆ น้ำหวานดูยิ่งมากเลย ไม่ค่อยคุยกับใคร พอรู้ว่าต้องมาแต่งหน้าที่กองนี้ก็กลัวว่าจะเอาน้ำหวานอยู่ไหม ฉันจะรับดีไหม แต่พอได้รู้จักจริง ๆ แล้วโก๊ะมาก”
น้ำหวานเข้าวงการมากี่ปีแล้ว?
“ถ้านับตั้งแต่ประกวดเดอะ เฟซ ไทยแลนด์ ซีซั่น 2 ก็ 4 ปีแล้วค่ะ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าถ้าเข้ามาประกวดจะเป็นการเปิดโอกาสทำให้เรามีงานเดินแบบ ถ่ายแบบ แต่ไม่คิดว่าเราจะได้มาเล่นละครและมีบทที่พิสูจน์ฝีมือตัวเองมากเท่านี้ แล้วเส้นทางกว่าจะมาถึงวันนี้ก็ยากมาก เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่าง เรายังพูดกับตัวเองเลยว่าเราก้าวมาไกลมาก ผ่านอะไรมาเยอะ ล้มลุกคลุกคลานมาก็เยอะ ร้องไห้ เสียใจ ดีใจ เจอมาหมดทุกรูปแบบ เราเหมือนคนที่ทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอด อย่างเมื่อก่อนที่เราเดินสายประกวด เราไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีเพื่อนไป เพราะรอบตัวเราไม่มีใคร ไปประกวดคนเดียวเลย อย่างเวทีที่เราไปประกวดครั้งแรกก็ไม่ได้รางวัลนะคะ ตอนนั้นเราปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร มาคนเดียวเข้ารอบ 20 คนได้ก็เก่งแล้ว เพราะเราไม่รู้เรื่องการประกวดเลย จนเราเริ่มจับทางได้แล้วว่า เวทีนี้เขาต้องการคนแบบนี้ เราก็เตรียมความพร้อมกลับไปประกวดเวทีเดิมอีกรอบนึง ไปคนเดียวเหมือนเดิม คราวนี้ได้รางวัลที่ 3 ความรู้สึกตอนนั้นก็ดีใจนะคะ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งเราเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกเหมือนคนไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลย เพราะไม่มีใครมาแสดงความยินดีกับเรา เหมือนคนอื่น ๆ มีคนมาให้ดอกไม้ พอประกวดเสร็จทุกคนก็จะวิ่งกรูขึ้นมาหา คนนี้ลูกฉัน คนนั้นลูกฉัน แต่เราไม่มี เพราะช่วงนั้นคุณพ่อเราเพิ่งเสีย และคุณแม่ก็ต้องดูแลน้องซึ่งยังเด็กอยู่ เราก็ชวนญาติ ๆ แล้วแหละแต่เขาไม่ว่าง แต่สุดท้ายก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรอย่างน้อยก็เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง จากนั้นก็ไปประกวดมิสมอเตอร์โชว์ ในปี 2013 ได้รางวัลที่ 3 มาเหมือนกัน จนกระทั่งมาประกวดเดอะเฟซ ไทยแลนด์ ตอนนั้นเราอายุเราก็จะ 26 แล้ว ก็คิดว่าจะเป็นเวทีสุดท้าย ก็มาคนเดียวเหมือนกัน แต่เวทีนี้เป็นเวทีที่พลิกชีวิตเราจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ถึงแม้เราจะตกรอบ ร้องไห้ไป 3 อาทิตย์ แต่หลังจากรายการออกอากาศไป ยอดติดตามในอินสตาแกรมของเราเพิ่มจาก 4 พัน เป็นหลักแสนในชั่วข้ามคืน เราก็คิดว่านี่แหละเป็นสิ่งที่เราฝ่าฟันและสู้มาด้วยตัวเอง คนอื่นอาจจะไม่เห็น แต่เป็นสิ่งทำให้เรายืนอยู่ได้ทุกวันนี้”
ทุกวันนี้เราถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวไหม?
“หนูเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาเยอะมาก ถ้าเล่าหมดต้องใช้เวลานานมากจริง ๆ ชีวิตเหมือนนิยายมาก ทุกวันนี้เราก็ดูแลแม่ ไม่เคยขอตังค์พ่อแม่ตั้งแต่อายุ 15 ค่ะ หาเลี้ยงตัวเองมาตลอด ทำมาทุกอย่าง ตั้งแต่ได้เงินเดือน 3,000 บาท เป็นเด็กเสิร์ฟก็เป็นมาแล้ว เคยเป็นพนักงานถ่ายเอกสารอยู่ช่วงหนึ่ง พอมาถึงจุด ๆ นี้ ทุกคนก็คิดว่าน้ำหวานรวย ชีวิตดีจัง แต่จริง ๆ คือเรามีเบื้องหลังเยอะมาก เราเล่นละครได้ ไม่ใช่เพราะอะไรเลย แต่เราเป็นคนเซ้นซิทีฟ เรามีเรื่องราวมีเบื้องหลังเยอะ อย่างบทร้องไห้ แค่สะกิดนิดเดียวน้ำตาก็มาแล้ว เพราะเรารู้ว่าตัวละครตัวนั้นรู้สึกยังไง”
น้ำหวานเรียนรู้อะไรจากวงการนี้บ้าง?
“เราได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ มิตรภาพ ความอดทน ความขยัน การตรงต่อเวลา ได้เจอหลากหลายรูปแบบ ก็ต้องคิดว่าเราต้องมีวิธีพูดคุยกับคนแบบนี้ยังไง วางตัวยังไง อย่างคนที่พูดกับเราอย่างหนึ่ง แต่ไปพูดกับอีกคนอย่างหนึ่งก็เจอ แต่เราเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร ก็จะนิ่ง ๆ คือเราก็รู้แหละว่าเขาเป็นยังไง แต่ก็จะนิ่งใส่ แต่เราจะเก็บรายละเอียดเก่งมาก ว่าใครเป็นยังไง ปฏิบัติกับเรายังไง”
อย่างตอนนี้มีนักแสดงรุ่นใหม่ นักแสดงอิสระเยอะขึ้นมาก เรามีกลัวไหม?
“เรากลัวเหมือนกันว่าวันหนึ่งเราจะมีพื้นที่หรือเปล่า แต่เราคิดว่าเราทำในสิ่งที่เรารับมอบหมายให้ดีที่สุด น่าจะทำให้ผู้ใหญ่เล็งเห็น และจะได้รับโอกาสต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็พยายามพัฒนาตัวเองด้วย มีไปเรียนแอ๊คติ้ง อย่างละครบางเรื่อง มีฉากดำน้ำ มีฉากเต้น มีส่วนต่าง ๆ ที่เราจำเป็นต้องใช้ในละครก็จะไปเรียนเพิ่มค่ะ”
ชีวิตหลังแต่งงาน กับดร.ณัฐวุฒิ ม้าแก้ว เป็นยังไงบ้าง?
“เดี๋ยว พ.ค. นี้ จะครบปีแล้วที่เราแต่งงานกัน ตอนนี้ทุกอย่างก็แฮปปี้ค่ะ จริง ๆ เราอยู่ด้วยกันมานานมาก ปีนี้เป็นปีที่ 6 แล้ว แต่เพิ่งแต่งงานได้เกือบปี พอมาเป็นสามีภรรยาเต็มตัวแล้ว เราก็เอาใจใส่กันมากขึ้น ว่าเราจะทำยังไงที่จะประคับประคองชีวิตคู่ ให้อยู่กินไปจนแก่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ยาก”
น้ำหวานเพิ่งเข้าวงการมาไม่นาน อะไรทำให้เราตัดสินใจแต่งงานเร็ว?
“จริง ๆ ชีวิตนี้ตอนแรกเราไม่คิดว่าจะแต่งงานด้วยซ้ำ แต่หนูกับพี่เขาผ่านอะไรกันมาเยอะ เลิกกันมา 2 รอบแล้ว จนมานั่งปรับทัศนคติต่างกัน เลยคิดว่าคงเป็นคนนี้แหละ เพราะเราไม่มีใคร เขาเหมือนเป็นทั้งพี่ ทั้งพ่อ ทั้งเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่อง อยู่ด้วยแล้วเรารู้สึกสบายใจ อบอุ่น และเขาก็ซัพพอร์ตเราทุกเรื่อง เวลาที่เราไปในทางที่ไม่ดี เขาก็ไม่ห้ามนะ ปล่อยให้ทำ แต่มาถึงจุด ๆ หนึ่งเราก็จะรู้เองว่าครั้งนี้ไม่ดี อย่างมีช่วงหนึ่งเราติดเที่ยว ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่พอเรารู้สึกว่าไม่ดีแล้วก็จะออกมาเองโดยอัตโนมัติ ก็ต้องค่อย ๆ ปรับจูนกันไป และหลังจากแต่งงานเขาก็ยังให้เราทำงานในวงการได้เหมือนเดิม เพราะเขาก็รู้แหละว่าเราเจออะไรมาบ้าง ฝ่าฟันอะไรมาบ้าง เขาก็บอกว่าทำเลย ถ้ามีโอกาสแล้วก็ไปต่อให้สุด”
แพลนเรื่องมีทายาทหลังจากนี้ไว้ยังไงบ้าง?
“เรื่องทายาทเราก็แพลนว่าจะมีนะคะ แต่ว่ายังทำงานอยู่ เรารู้ว่าถ้ามีลูกแล้วชีวิตเราจะเปลี่ยนไป ซึ่งตรงนี้พี่เขาก็เข้าใจ และเราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ก็รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ขอทำงานไปก่อน”
สุดท้ายอยากให้น้ำหวาน ฝากถึงแฟน ๆ ที่ติดตามเรามาตลอด?
“อยากจะขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่ติดตามน้ำหวานมาตั้งแต่ออกจากการประกวด เดอะเฟซฯ จนมาถึงวันนี้ที่น้ำหวานมีละคร ก็อยากจะขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมา คอยติดตามผลงาน คอยสนับสนุนเรามาตลอด เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเราออกมาจากรายการแล้วจะมีโอกาสได้เป็นดาราหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ก็ยังมีคน
กลุ่ม ๆ หนึ่งตรงนี้ที่เชื่อและคอยบอกว่ายังไงวันหนึ่งต้องมีผลงานให้พวกเขาเห็นแน่นอน พอมาถึงวันนี้เราก็ดีใจที่ทุกคนยังอยู่ข้าง ๆ”.
..............................................................................................
เรื่อง : นฤมล แซ่แต้
ภาพ : พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์