ข่าว'เจมส์-ธีรดนย์' เมื่อเงินไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะผลงานคือบทพิสูจน์ฝีมือ - kachon.com

'เจมส์-ธีรดนย์' เมื่อเงินไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะผลงานคือบทพิสูจน์ฝีมือ
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s

เรียกว่ากระแสตอบรับแรงไม่เบาสำหรับซีรีส์ “Great Men Academy สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟทางไลน์ทีวี (LINE TV) ที่มีหนุ่ม ๆ จากบ้านนาดาวบางกอกสุดหล่อรับบทบาทในเรื่อง หนึ่งในนั้นคือพระเอกหนุ่ม “เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ ที่พิสูจน์ฝีมือการแสดงด้วยการรับบท “เลิฟเด็กสาวผู้สามารถแปลงร่างเป็นผู้ชาย ที่ตัดสินใจเดินทางออกจากโลกใบเดิมตามหาความรัก ใช้ร่างผู้ชายเข้าไปเรียนในโรงเรียนสุภาพบุรุษ Great Men Academy เพื่อได้ใกล้ชิดกับชายในฝัน วันนี้เราจึงคว้าตัวหนุ่มเจมส์มาพูดคุยถึงการทำงานในซีรีส์เรื่องนี้ รวมทั้งชีวิตในวงการบันเทิงที่ถือว่าเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่มีพัฒนาการที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และความรักกับแฟนสาวนอกวงการแพรซึ่งทั้งสองยังคอยให้กำลังใจกันและกันเสมอ ติดตามได้ในบทสัมภาษณ์เลยค่ะ

บทบาทเลิฟในซีรีส์เกรท เมน อคาเดมี่ฯเป็นยังไงบ้าง?
“ผมรับบทเป็น “เลิฟหลังจากแปลงร่างเป็นผู้ชาย โดย “เลิฟ” ในร่างผู้หญิงรับบทโดยน้องนิว BNK48” ในเรื่อง “เลิฟ” เป็นสาวน้อยช่างฝันผู้ตกหลุมรักรุ่นพี่ ซึ่งโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนชายล้วน ที่สอนให้ทุกคนเป็นสุภาพบุรุษทั้งจากภายนอกและภายใน แต่จู่ ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อ “เลิฟ” สามารถแปลงร่างเป็นผู้ชายเพื่อเข้ามาในโรงเรียนนี้ ปกติแฟน ๆ จะจำบทบาทที่ผมเล่นค่อนข้างดาร์ก แต่คราวนี้เปลี่ยนมารับบทวัยรุ่นสดใสบ้างแล้วครับ (ยิ้ม) ที่สำคัญต้องแปลงร่างเป็นผู้หญิง หมายถึงเราที่เป็นผู้ชายต้องเล่นเป็นผู้หญิง ถือเป็นการพลิกคาแรกเตอร์จากที่เคยเล่นมามาก ๆ สนุกมากครับ”

เจมส์มองว่าบทบาทแบบนี้มีความยากอย่างไรบ้าง?
“ความยาก คือ เราจะต้องเล่นออกมาให้พอดี ไม่เยอะหรือน้อยเกินไป ดังนั้นต้องทำการบ้านอย่างหนัก เริ่มต้องใช้ชีวิตประจำวันกับผู้หญิง ในเรื่องนี้ผมและน้องนิวเราเล่นเป็นคนเดียวกันเลยยังต้องพยายามปรับจูนกันให้ได้มากที่สุด ทั้งเลียนแบบวิธีการพูด บุคลิกลักษณะของเขา ต้องเก็บรายละเอียดให้เหมือนกัน ผมต้องลดน้ำหนักให้ผอมลงเพื่อเอากล้ามออกและใช้น้ำหอมผู้หญิงเพื่อจะได้อินกับบทบาท โดยส่วนตัวเราค่อนข้างสำอางอยู่แล้ว รู้สึกว่าน่าจะดึงสิ่งที่เรามีอยู่มาลองใช้บ้าง ซึ่งผมชอบบทนี้มาก เพราะทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะการที่เราได้รู้จักมุมมองความคิดในแบบผู้หญิงมากขึ้น ถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้เล่นบทนี้ เพราะเป็นบทที่อยากเล่นมานานมากแล้วครับ (ยิ้ม)”



ได้รับแต่บทที่ท้าทาย แต่ก็ได้รับการชื่นชมเสมอ แอบกดดันในการทำงานหรือเปล่า?
“ไม่กดดันครับ เราก็อยากเล่นบทที่แตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นคนเรื่องเยอะ แต่อาชีพเราถ้าไม่เลือกเลยก็ไม่ได้ ต้องเลือกบ้างว่าเรามีแพลนชีวิตยังไง เวลารับงานแต่ละเรื่อง ผมดูที่บทและพยายามเต็มที่ทุกครั้ง แค่อาจจะหาวิธีการแสดงใหม่ ๆ เข้ามา เพื่อนำเสนอให้น่าสนใจมากขึ้น โชคดีเวลาทำงานเหมือนผม มีสวิตช์เปิดปิดมั้ง บางทีเราทำงานจนไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทำให้เครียดบ้าง แต่ผมพยายามหาเวลาพักผ่อน ออกไปเที่ยวเพื่อที่จะได้หาสิ่งใหม่ บางทีเราอาจจะได้แรงบันดาลใจจากการพักผ่อน แล้วกลับมาทำงานให้ดีขึ้นครับ”

อยู่วงการเป็นปีที่ 5 แล้ว รู้สึกเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน?
“ผมเริ่มทำงานในวงการจากการเป็นส่วนหนึ่งในซีรีส์ ฮอร์โมนส์ซีซั่น 2” แล้วผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสมาเรื่อย พอหนังเรื่อง ฉลาดเกมส์โกง เป็นที่รู้จัก ผมก็มีซีรีส์และหนังตามมาอีกหลายเรื่อง แต่ก่อนหน้านี้ก็แคสโฆษณาเรื่อย ๆ รู้สึกว่าสนุก ด้วยความที่เราเรียนสายวิทย์ เป็นนักแข่งเลขของโรงเรียนก็จริง แต่รู้สึกอินกับด้านบันเทิงมาก จนวันนึงพอเข้ามาในวงการ กลายเป็นว่าเรามีแพชชั่นกับการเป็นนักแสดงหรือศิลปิน เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าการทำงานด้านนี้ แค่คุณหน้าตาดี ได้รับโอกาสเล่นละคร มีชื่อเสียง แฟนคลับตามมีรายได้แค่นั้น แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ วงการนี้มีอะไรให้เรียนรู้เยอะกว่านั้น สำหรับผมปัจจัยหลักจึงไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ฝีมือการแสดงที่ถ่ายทอดในผลงานต่าง ๆ มากกว่าที่จะติดตัวเราไปตลอด ผมเลยมีแพชชั่น มีเป้าหมายในการทำงาน คือ อยากให้คนจำภาพที่เป็นเจมส์-ธีรดนย์ ที่มีผลงานที่ดีไว้เป็นแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ รุ่นหลัง อยากให้ผลงานเราออกไปสู่สายตาทั่วโลกให้เขารู้ว่าคนไทยมีคุณภาพ ทำอะไรหลายอย่างให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกได้ ผมมองว่านักแสดง ถ้าแค่จำบทอย่างเดียวแล้วไปถ่าย แบบนี้ใครก็ทำได้ เขาก็จะเป็นแค่ใครสักคนที่วันนึงก็ไป เพราะไม่ได้มีคุณภาพจริง ถ้าไม่ได้รักงานตรงนี้จริง ก็อยู่ได้แค่ชั่วคราว แล้วถ้าให้ทำเล่น ๆ ผมไม่ทำดีกว่า รู้สึกเหมือนดูถูกตัวเองครับ”

ตัวตนจริง ๆ ของเจมส์นั้นเป็นคนยังไง?
“ผมค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะเวลาทำงานต้องเอางานเป็นหลัก ยิ่งถ้าได้ทีมงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน เราจะสนุกสนุกกับการทำงาน เพราะสามารถพูดตรง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำงานต้องยอมรับได้ การเสนอความคิดเห็นไม่ได้พูดแบบไม่มีเหตุผล แต่พูดเพื่อทำให้งานออกมาดี เวลาผมทำงานไม่ใช่ว่าเขาจ้างมา ก็ทำไปเสร็จแล้วได้เงินก็กลับ แต่เรากำลังจะสร้างวงกลมการทำงานให้สวยงามเลยรู้สึกว่าเราต้องใช้การแสดงความคิดเห็นร่วมกัน การทำงานในวงการนี้ รู้เลยว่าคนสำคัญมาก ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจะทำได้ทุกอย่าง เพราะเงินซื้อใจคนไม่ได้ คุณจะโชคดีมากถ้าได้เจอคนที่มีใจรักในงานนั้นจริง ๆ แล้วจะเป็นการทำงานที่แฮปปี้มากครับ”



ชื่อเสียงที่เข้ามาหาเรา มีผลต่อการใช้ชีวิตเรามากขึ้นหรือเปล่า?           
“ไม่มีครับ บางคนจะชอบมองว่าคนเป็นนักแสดงมักจะได้รับอภิสิทธิ์ ผมว่าไม่เกี่ยวนะ ผมไม่ต้องรอให้คนอื่นสปอย ผมสปอยตัวเองก่อนเลย(หัวเราะ) เพราะผมรู้สึกว่าคุณไม่จำเป็นต้องดูแลเราเหนือกว่าคนอื่น นักแสดงดาราต่อให้มีชื่อเสียงแค่ไหน เขาก็คนเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าจะมาอยู่เหนือคนอื่น ผมว่าอยู่ที่ระบบการจัดการมากกว่า ถ้าทุกคนมองที่งานเป็นหลัก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดครับ”

เดินมาถึงจุดนี้ได้แฟนคลับมีส่วนสำคัญ กับชีวิตเราแค่ไหน?   
“สำคัญมากครับ วันแรกที่ผมเข้าวงการมาจำได้เลยมีแฟนคลับมาหาผมคนเดียว ชื่อ ตั๊ก เขาก็อยู่กับผมมาตลอด จนเริ่มมีแฟนคลับเพิ่มขึ้น ทุกวันนี้เขายังทำหน้าที่เป็นเฮดแฟนคลับบ้านผม ถ้าเราขาดคนกลุ่มนี้ไปเราไม่รู้ว่าจะทำงานไปเพื่ออะไร พอทุกวันนี้มีโซเชียลมีเดียให้เราได้เช็กฟีดแบ็ก ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร แฟนคลับยังอยู่กับเรา ตั้งแต่วันที่ยังไม่มีชื่อเสียง จนคนเริ่มรู้จักขึ้น ลองจินตนาการว่าถ้าเราไปออกงานแล้วไม่มีแฟนคลับเลยสักคนชีวิตคงโหรงเหรงนะ ผมจะลุ้นตลอดเวลาไปทำงาน ว่าจะมีคนไปให้กำลังใจไหม(ยิ้ม) ซึ่งถ้าเราอยากให้แฟนคลับรักเราก็ต้องรักต้องจริงใจกับเขาก่อน หลังเลิกงานก็ไปเจอพูดคุยถ่ายรูปกันบ้าง แค่นี้ก็เหมือนเติมกำลังใจให้กันและกันแล้วครับ”



เรื่องความรักกับแพรเป็นยังไงบ้าง? 
“ผมทำงานตรงนี้เขาเข้าใจทุกอย่าง ไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย เราอยู่กันแบบรับฟังด้วยเหตุด้วยผลต้องมีช่วงปรับความเข้าใจอยู่แล้ว เพราะเราก็คบกันก่อนที่ผมจะเข้าวงการ มีช่วงคาบเกี่ยวที่อาจจะยากหน่อย แต่พอผ่านมาแล้วต่างคนต่างโตขึ้น งานตรงนี้คือชีวิตผมเขาก็เข้าใจ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันที่ไม่มีอะไร วันนี้ผมก็ไม่ได้ทิ้งเขา ถ้าวันนึงเขาต้องไปทำตามฝันเขาก็ต้องไป อย่าให้การคบกันมาถ่วงอีกฝ่ายดีกว่า เราทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเอง อายุ 21-22 ปี คือ ช่วงเวลาทำงาน ตามหาความฝัน ไม่ใช่ว่าผมจะต้องแต่งงานสร้างครอบครัว มีลูก เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ตอนนี้ โฟกัสงาน แฟนก็ซัพพอร์ตทุกอย่างครับ”

สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานและชื่นชอบเราหน่อย?      
“ขอฝากซีรีส์ “Great Men Academy สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟออกอากาศทุกวันพุธทางไลน์ทีวี และฝากติดตามคอนเสิร์ตไนน์บายนาย วันที่ 9 มี.ค. 62 นี้ด้วยครับ รวมถึงฝากผลงานอื่น ๆ ของผมในอนาคตด้วยนะ ผมพยายามทำให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด อยากให้ลองเปิดใจดูและขอบคุณมากที่ติดตามผลงานกันมาตลอดนะครับ”                                         

จากการพูดคุยกับ เจมส์-ธีรดนย์ในวันนี้เราได้เห็นมุมมอง ความคิด ที่เติบโต รวมทั้งความตั้งใจในการรักษามาตรฐานการทำงานในวงการบันเทิง หวังว่าแฟน ๆ จะรักและให้กำลังใจเขาในโอกาสต่อไปด้วยนะคะ.

..............................................
“แม่หมีพีโอนี่”