'ลูคัส แกรห์ม'เยือนไทย ชวนฟังอัลบั้มใหม่แรงบันดาลใจจากครอบครัว
บันเทิง
หลายคนต้องคุ้นหูกับเพลงบัลลาดสุดเพราะอย่าง “7 years” จากอัลบั้มที่ชื่อว่า “บลู” (Blue) เมื่อปี 2015 ของนักร้องชื่อดังชาวเดนมาร์ก “ลูคัส แกรห์ม” (Lukas Graham) วัย 30 ปี ที่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดอันดับหนึ่ง และครองชาร์ตเพลงของไทยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไปที่ไหนต้องได้ยินเพลงนี้เสมอ นอกจากน้ำเสียงทรงพลัง เสน่ห์งานเพลงของลูคัสที่แฟน ๆ ชื่นชอบมาจากเนื้อหาที่เจ้าตัวหยิบนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตทุกรสชาติทั้ง ความรัก ความหวัง ความกลัว และการสูญเสีย มาตกผลึกเป็นเนื้อเพลงส่งต่อถึงผู้ฟังทำให้เขาขึ้นเป็นศิลปินแถวหน้าระดับโลกอีกคนของวงการ ล่าสุด “ลูคัส” เดินทางมาโปรโมตอัลบั้มชุดใหม่ที่ชื่อว่า“3 เดอะเพอร์เพิล อัลบั้ม” (3 The Purple Album) ที่มีเพลงเพราะ ได้แก่ Love Someone, Not a Damn Thing Changed, Unhappy, Lullaby, You’re Not The Only One (Redemption Song), Promise, Stick Around, Everything That Isn’t Me, Hold My Hand และ Say Yes (Church Ballad) ที่ประเทศไทย งานนี้ “วอร์นเนอร์ มิวสิค ประเทศไทย” จึงชวน “ฮันนี่บี” ร่วมสัมภาษณ์หนุ่มลูคัสถึงการทำงานครั้งนี้ พร้อมอัพเดทชีวิตในเส้นทางสายดนตรี และความประทับใจที่มีต่อเมืองไทย หลังแอบรู้มาว่าหนุ่มลูคัสเป็นสายชิม ชอบลิ้มลองอาหารทุกประเทศที่เดินทางไปเยือนซะด้วย ติดตามในบทสัมภาษณ์เลยค่ะ
เพลง “7 years” จากอัลบั้ม Blue ประสบความสำเร็จมากรู้สึกอย่างไรบ้าง?
“ผมรู้สึกประหลาดใจ เพราะ 3 ปีก่อน ผมมาหาเพื่อนที่เชียงใหม่ ระหว่างเดินเล่นในเมืองผมได้ยินเพลงนี้เปิดอยู่ตามถนนหนทางต่าง ๆ ผมบอกใคร ๆ ว่านี่เพลงผมนะ แต่ไม่มีใครเชื่อ แล้ว 3 ปีต่อมาผมได้มาที่นี่ประเทศไทย มีคนมารอรับผมที่สนามบินก็ยังเป็นเรื่องประหลาดใจอยู่ดี ผมยังไม่ค่อยชินกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้มาเจอทุกคนในวันนี้ แล้วก็ขอบคุณมาก ๆครับ”
เราได้ยินว่าคุณมีอัลบั้มใหม่ชื่อว่า “3 เดอะเพอร์เพิล อัลบั้ม” ช่วยแนะนำให้เราฟังหน่อยได้ไหม?
“อัลบั้มชุดที่แล้วอย่าง “บลู” (Blue) เล่าถึงการสูญเสีย เพราะผมเสียคุณพ่อไป 6 ปีก่อน ทำให้ผมเขียนเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากคุณพ่อของผมส่วนใหญ่ แต่ในอัลบั้ม “3 เดอะเพอร์เพิล อัลบั้ม” ผมได้แรงบันดาลใจมาจากครอบครัวของผมอีกครั้ง จากคู่หมั้นของผม “ริลโล ชวาร์ทซ์” (Rillo Schwartz) และลูกสาว “วีโอล่า” (Viola) หรือ “ไวโอเลต” อัลบั้มนี้เลยพูดถึงชีวิตของผมเองตอนนี้ ที่เป็นคุณพ่อทำงานและเดินทางเยอะ ผมจึงเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ในครอบครัว แม้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือผมยังเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่รักในการร้องเพลงครับ”
เพลง “เลิฟ ซัมวัน”(Love Someone) บอกเล่าถึงเรื่องอะไร?
“2 ปีก่อนผมเป็นพ่อของลูกสาวผม มันเป็นเรื่องที่ดีมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผมครับ แต่ผมทำงานเดินทางเยอะมาก บางทีมันก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกกลัวและกังวลว่าผมจะสูญเสียอะไรไปในระหว่างที่ผมทำงาน ในขณะเดียวกันถ้าผมไม่ได้ทำงาน ชีวิตผมก็คงไม่มีความสุขนะ(ยิ้ม) ซึ่งมันค่อนข้างยากที่จะสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและดูแลครอบครัวได้ ความรู้สึกกลัวที่จะสูญเสียใครไปนั้น ผมเลือกไม่มองว่าเป็นความคิดด้านลบนะ เพราะเมื่อเรากลัวว่าจะสูญเสียใครไป มันก็คือความรู้สึกที่ทำให้เรารู้ว่าเรารักเขาคนนั้นมากแค่ไหน ความกลัวในที่นี้ เพราะเรากลัวเพราะเรารักใครสักคนมากนั่นเอง แต่ในมุมของผมคือเป็นความรู้สึกที่พ่ออยากบอกลูกและภรรยาของผมนั่นเองครับ”
บอกเราได้ไหม ว่าคุณชอบเพลงไหนที่สุดในอัลบั้มนี้?
“ตอนนี้ความชอบในเพลงต่าง ๆ เปลี่ยนไปอีกแล้วครับ (หัวเราะ) คือขึ้นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึก ณ ตอนนั้นนะ แต่ในตอนนี้เพลงที่ผมชอบที่สุดคือ “You’re Not The Only One (Redemption Song)” เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีที่พูดถึงนักดนตรีที่เหมือนฮีโร่ อย่าง บ็อบ มาเล่ หรือ จอห์น เลนนอนที่แต่งเพลงเพื่อเรียกร้องความสามัคคี ในช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกของเรา ซึ่งผมเองก็รู้สึกชอบที่จะแสดงเพลงนี้
ด้วยครับ”
ถ้าคุณมีโอกาสทำงานร่วมกับใครสักคน อยากทำงานกับใคร?
“คำถามนี้ค่อนข้างแปลกนิดนึงนะครับ เพราะโอกาสจะเข้ามาก็ต่อเมื่อโอกาสนั้นมาถึง ผมก็เลยจะตอบคำถามนี้ว่า ผมอยากยังร่วมงานกับหลายคนที่ผมเคยทำงานด้วยมาแล้ว เพราะการทำงานด้วยกันที่ราบรื่น อย่างเช่น นักแต่งเพลง “แดน วิลสัน” (Dan Wilson) ที่เขียนเพลง “You’re Not The Only One” (Redemption Song)” ของผม และเพลง “Someone Like You” ให้กับ “อะเดล” อีกครั้ง รวมทั้งนักแต่งเพลง “เอมี่ แวดจ์” (Amy Wadge) ที่แต่งเพลง “Thinking Out Loud” ร่วมกับ “เอ็ด ชีแรน” ด้วย ผมชอบเขียนเพลง แต่เพลงทุกเพลงต้องการการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผมเลยอยากจะทำงานกับคนเหล่านี้อีก แต่มันค่อนข้างยากเพราะผมอยู่ที่กรุงโคเปนเฮเกนซึ่งอยู่ห่างไกลจากพวกเขาครับ”
รู้มาว่าคุณชอบทานอาหารมาก เคยทานอาหารไทยหรือเปล่า ชอบอะไรที่สุด?
“ผมทำแกงเขียวหวานเป็นครับ อร่อยมาก ๆ ด้วย (ยิ้ม) เวลาเพื่อนขอให้ผมทำให้กินจะบอกให้ผมลดความเผ็ดลงหน่อย ส่วนผลไม้ของไทยก็มีหลายอย่างที่อร่อยและชอบมาก ทั้ง แตงโม, เงาะ, มังคุด, ลิ้นจี่ และที่สำคัญผมชอบกินทุเรียนมาก ส่วนอาหารผมชอบ ส้มตำ และ ต้มยำกุ้ง ด้วย แต่มาเมืองไทยครั้งนี้ผมได้ลองกินหอยเชลล์ย่าง ปลาย่างบนใบตองแล้ว ผมชอบลองอาหารพื้นเมือง แน่นอนว่าถ้าใครเอาอาหารพื้นเมืองอะไรก็ตามมาวางตรงหน้าผม ผมก็จะลองชิมดูทั้งหมดแน่นอนครับ”
สิ่งที่คุณชอบหรือประทับใจที่สุดจากการทัวร์ในหลายประเทศ?
“ผมชอบกินอาหารครับ (หัวเราะ) อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจของการชอบอาหาร เพราะตอนผมเป็นเด็กมีกฎของพ่อแม่ผมข้อหนึ่ง ถ้าทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ล้างจานเสร็จแล้ว ผมสามารถฟังเพลงไหนก็ได้ที่ชอบเสียงดัง ๆ ฉะนั้นผมถึงชอบอาหาร ผมเดินทางเยอะเลยได้ลองทานอาหารหลากหลาย ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น”
ศิลปินต้องใช้พลังในการสร้างสรรค์งานเยอะ เวลาที่ท้อเหนื่อย คุณมีวิธีฟื้นตัวเองอย่างไร?
“คำถามนี้ดีมากครับ เมื่อผมรู้สึกอยากเขียนอะไรซักอย่าง ผมก็จะพยายามเขียนมันออกมา แต่ถ้าเขียนเพลงไม่ออก คำว่า “อินสไปเรชั่น” มาจากคำภาษาละติน ในมุมของผมคำว่าแรงบันดาลใจไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง แต่มาจากที่ใดสักที่หนึ่ง หรือจากพระเจ้า ซึ่งเราคงต้องปล่อยให้ตัวเราเกิดแรงบันดาลใจขึ้นเอง ถ้าเครียดเกินไปหรือไม่มีความสุขในชีวิต คุณก็จะเขียนมันออกมาไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกนี้เคยเกิดขึ้นกับผมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ผมเรียกว่า “หมดแรงบันดาลใจ” แต่พอมาเที่ยวที่เชียงใหม่ ได้กินอาหารไทยตลอด 10 วัน ทำให้ผมกลับมาเขียนเพลงได้อีกครั้งนะ (หัวเราะ) รวมทั้งหาแรงบันดาลใจจากการฟังเพลงมากขึ้นและหลากหลายขึ้นนั่นเองครับ”
จากการพูดคุยกับ “ลูคัส แกรห์ม” ในวันนี้ สัมผัสได้ถึงพลังในการทำงาน การเป็นผู้นำครอบครัวที่ต้องดูแลทั้งงานและความสัมพันธ์ออกมาให้ดี หยิบเอาสิ่งเหล่านี้มีเขียนเป็นผลงานเพลงสร้างกำลังใจให้กับผู้ฟังอย่างเรา ฝากแฟน ๆ เดลินิวส์ ติดตามผลงานของเขาหรือแนะนำแลกเปลี่ยนเรื่องอาหารกับเขาได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก, ยูทูบ, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมชื่อ “Lukas Graham” รวมทั้งฟังและดาวน์โหลดเพลงได้ทาง Spotify, Apple Music, Joox, True Music และ Deezer หรือดาวน์โหลดได้จาก iTunes Store โดยวอร์นเนอร์ มิวสิค นะคะ.
............
ฮันนี่บี