'แพทตี้' เล่าความสุขทำสิ่งที่รัก มุ่งตามฝันสู่การเป็นมิชลินสตาร์
บันเทิง
เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้ “ฮันนี่บี” ขอพาคุณผู้อ่านทุกท่านมาทำความรู้จักสาวน้อยคนเก่ง “น้องแพทตี้” ด.ญ.ชนัญชิดา พงษ์เพ็ชร อายุ 11 ขวบ กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติ แอ๊ดเวนต์รามคำแหง (RAIS) เกรด 5 ที่โด่งดังจากการโชว์ความสามารถในการทำอาหารผ่านรายการแข่งขันทำอาหารชื่อดัง “มาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ไทยแลนด์” (MasterChef Junior Thailand) ทางช่อง 7 สี เจ้าของเมนู มูสแกงใต้ปลาหิมะ, ล็อบสเตอร์อยู่ในดงป่า ซึ่งตลอดทั้งรายการน้องเจอโจทย์ทำอาหารสุดหิน แต่ในที่สุด น้องแพทตี้ก็สามารถคว้าแชมป์มาครอง ด้วยความสดใสและความสามารถที่เก่งเกินอายุบวกทัศนคติในการตอบคำถามที่ดีจนกลายเป็นขวัญใจของใครหลายคน วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับ “น้องแพทตี้” อีกหนึ่งเยาวชนที่ถือเป็นไอดอลของเด็กยุคใหม่ผู้มุ่งมั่นทำในสิ่งที่เรารักจนประสบความสำเร็จ ติดตามเรื่องราวของน้องได้ในบทสัมภาษณ์กันเลยค่า
หลังจากได้แชมป์มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ ชีวิตหนูเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?
“ดีใจมาก ๆ ค่ะ ตอนนั้นหัวใจจะวาย (หัวเราะ) เป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ ดีใจมาก พูดไม่ถูก ไม่มีอะไรที่จะมาถึงจุดนี้ได้แล้ว ไปแข่งเรียนกี่ครั้งสู้อันนี้ไม่ได้ ทุกความสำเร็จมาจากตัวหนูเองจริง ๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาไกลได้ขนาดนี้ ตั้งแต่หนูสมัครออดิชั่นก็ไม่เคยคาดหวังว่าเราจะผ่านไปรอบลึก ๆ เพราะมีเพื่อน ๆ อีกตั้ง 2 พันคน แล้วทุกคนเขาเก่งกันหมด เราเป็นเด็กธรรมดา ก็รู้สึกภูมิใจมากที่สุดในชีวิต เพราะเป็นรายการแรกที่หนูไปสมัครแข่งขันด้วยค่ะ”
ขอย้อนไปจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูสนใจการทำอาหารสักนิด?
“เริ่มมาตั้งแต่หนูอายุ 5-6 ขวบเลยค่ะ ตอนนั้นหนูชอบกินมาก ๆ แต่บางทีเมนูที่ชอบไปกินที่ร้านมันก็แพง (หัวเราะ) เราก็คิดว่าถ้าลองแกะสูตรเองจะเป็นยังไง แล้วก็ลองทำมาเรื่อย ๆ ความชอบทำอาหารก็คิดว่าเริ่มมาจากตอนนั้น รวมทั้งคุณยายทำอาหารให้ที่บ้านกินอร่อยมาก ๆ คุณพ่อนี่ทำอาหารไม่ได้เลย ส่วนคุณแม่ทำได้บ้าง แต่คุณยายเก่งที่สุดก็เข้าไปช่วยในครัวตลอด ตั้งแต่เด็ดผัก ตำน้ำพริก คุณยายก็ให้เรามีส่วนร่วมในการทำด้วยตลอดเราก็ซึมซับมาเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็เริ่มดูการทำอาหารตามยูทูบ ในอาหารที่ต้องมีเทคนิคและขั้นตอนในการทำมากขึ้น หนูกล้าคิดกล้าทำ ถ้าพังเราก็หาข้อผิดพลาดแล้วแก้ใหม่ การทำอาหารกลายเป็นความรัก กลับจากเรียนมาก็ต้องเข้าครัว คิดว่าเป็นพรสวรรค์จากตัวเราจริง ๆ ดีใจที่เราค้นพบแล้วทำมันได้ค่ะ”
อะไรทำให้เราตัดสินใจสมัครแข่งขันที่ต้องเจอทั้งความกดดันและการแพ้ชนะ?
“ตอนนั้นหนูเห็นประกาศรับสมัคร คิดแค่อยากได้ประสบ การณ์ใหม่ ๆ จากเริ่มต้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วพอเข้ารอบลึกก็จริงจังขึ้น ถึงกดดันแค่ไหนก็ต้องสู้ให้ได้มาขนาดนี้แล้วต้องเต็มที่ ถ้าเราอยากเป็นมาส เตอร์เชฟเราก็ต้องสู้ จากที่ไม่เคยต้องกดดัน อย่างเรียนหนังสือเวลาสอบก็แข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่นเหมือนรายการ แต่รายการจะมีคนที่ถนัดทำอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งเราต้องแข่งกับคนอื่นและตัวเองด้วย ที่สำคัญคือเราต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้ ๆ ก็จะมีพลังค่ะ”
พอรอบลึก ๆ ที่แข่งขันคนดูเซอร์ไพร้ส์กับความรู้เรื่องอาหารของหนูเหมือนกัน?
“คือในรอบแรก ๆ มาจากการดู การชิม และลงมือทำของเรา แต่พอเข้ารอบลึก ๆ ขึ้นโจทย์อาหารที่ต้องทำก็ยากขึ้น ได้เพื่อนของคุณพ่อช่วยเทรนความรู้ให้ แล้วหนูก็เอามาดัดแปลงใช้เองในการแข่งขันค่ะ”
เมนูไหนที่ตอนแข่งขันแล้วยากที่สุด?
“เมนูที่ต้องทำจาก “ตีนเป็ด” ค่ะ หนูไม่เคยกิน ไม่เคยเห็นเลย(หัวเราะ) แล้วเนื้อเป็ดเหนียว เนื้อน้อย ซึ่งมันก็ท้าทายก็กดดันมากจะทำเมนูอะไร สุดท้ายหนูเอาตีนเป็ดเข้าหม้ออบแรงดันสูงเอาไว้ก่อน เพราะนึกได้ว่าเราเคยไปกินอาหารที่ร้านนึงที่มีขาห่าน ซึ่งมันก็คล้ายตีนเป็ด เราก็ใช้เครื่องเทศอย่างผงพะโล้ เครื่องเทศจีน อบเชย เหล้าจีน ลองใส่ดูน่าจะเข้ากันได้ ที่สำคัญหนูชอบกินพะโล้เลยถนัดแบบนี้ค่ะ”
หนูได้เรียนรู้อะไรจากการสมัครเข้าแข่งขันการทำอาหารบ้าง?
“หนูได้ความรู้หลายอย่าง จากเพื่อน ๆ ที่มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหารกัน ความรู้จากคณะกรรมการที่เป็นสุดยอดเชฟทุกคน เป็นประสบการณ์ไม่เคยเจอในชีวิตที่ดีมาก การทำอาหารนอกจากความอร่อยแล้ว หนูยังได้ความใจเย็น มีสติ เพราะทุกขั้นตอนเวลาทำอาหารต้องใช้ความละเอียดที่ฝึกฝนเราได้เยอะ ที่สำคัญคือได้รับความสุขเมื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบจริง ๆ ขอบคุณรายการมาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ไทยแลนด์ ที่ให้เด็ก ๆ แบบพวกหนูกล้าที่จะมาโชว์ความสามารถ ได้ความรู้เรื่องอาหารและได้รับมิตรภาพกับเพื่อน ๆ อยากให้รายการพัฒนายิ่งขึ้นไปในอนาคตนะคะ”
ได้แชมป์ทำอาหารแล้วอยากต่อยอดเส้นทางนี้ในอนาคตด้วยไหม?
“หนูอยากทำอาชีพเชฟนะคะ ไอดอลของหนูถ้าฝรั่งคือ กอร์ดอน แรมซี, เจมี่ โอลิเวอร์, คริสตีน่า ทัวซี่ แต่ถ้าอาหารไทยคือ เชฟป้อม-ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล, เชฟเอียน-พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย และนักชิมอย่าง อาอิงค์-ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์ ป้าป้อมใจดีมากสอนเทคนิคหนูเยอะแยะ เช่น การตำพริกแกงป้าป้อมสอนให้เอาพริกไปต้มเวลาตำจะง่ายกว่า ส่วนเชฟเอียนรู้เทคนิคทำอาการคลีน เลือกอาหารอะไรให้เข้ากับอะไร แล้วก็ อาอิงค์-ม.ล.ภาสันต์ กูรูนักชิมอาหาร อยากเป็นแบบพี่ ๆ แต่ถ้าไม่ได้เป็นเชฟ หนูก็เรียนหนังสือต่อไปอยากเป็นหมอหรือวิศวกรเพราะที่บ้านทำธุรกิจ แต่ตอนนี้เจอสิ่งที่ชอบแล้วก็จะไปเป็นเชฟมิชลินสตาร์ให้ได้ค่ะ”
ส่วนใหญ่เด็กไทยเน้นเรียนเพื่อสอบ พื้นที่โชว์ความสามารถหายาก?
“หนูคิดว่า ถ้าเราค้นพบสิ่งที่สนใจลองทำก่อน อย่างที่หนูสนใจเรื่องอาหาร คุณพ่อคุณแม่ยอมรับและพร้อมสนับสนุน สำหรับหนูอายุเป็นเพียงตัวเลข ความรู้ที่เรามีสามารถพัฒนาตัวเราได้ตลอดเวลา ที่สำคัญอดทนและกล้าลอง ถ้าผิดแล้วก็ลองใหม่ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเข้าถึงทุกคนได้หมดแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ตั้งใจมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ชอบให้ดีที่สุดนะคะ”
วันเด็กปีนี้อยากบอกเพื่อน ๆ หรือผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง?
“อยากจะขอบคุณผู้ใหญ่หลายคนที่ดูแลให้เป็นหนูในวันนั้น ขอบคุณครอบครัวและแฟนคลับทุกคนที่มาติดตามหนู และให้กำลังใจมาตลอด อยากขอบคุณทุกคนมากค่ะ วันเด็กปีนี้อยากบอกเพื่อน ๆ ทุกคนว่า เด็กไทยนั้นเก่งเท่า ๆ กับเด็กประเทศอื่นนะ แค่เราต้องกล้า สู้ มั่นใจในตัวเอง และอย่าไปยอมแพ้เวลาจะลงมือทำอะไร รวมทั้งอย่าเล่นสนุกสนานจนลืมแบ่งเวลาให้การเรียนด้วยนะคะ ส่วนช่องทางติดตามหนูเฟซบุ๊ก www.facebook.com/Pattiejr อินสตาแกรม “@pattie_jrchef” และยูทูบแชนแนลกำลังทำอยู่รอติดตามนะคะ”
จากการพูดคุยกับ “น้องแพทตี้” ในวันนี้ ตลอดเวลาที่น้องเล่าถึงการทำอาหาร เราสัมผัสได้ถึงความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ทุ่มเทและเต็มที่ หวังว่าน้อง ๆ ที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเธอจะมีแรงบันดาลใจค้นหาสิ่งที่ตัวเองถนัดต่อไป รวมทั้งฝากให้ติดตามน้องแพทตี้ในโอกาสต่อไปและให้กำลังใจให้น้องเดินในเส้นทางนี้จนก้าวไปสู่การเป็นเชฟระดับโลกได้กันด้วยนะคะ.
....................................................
ฮันนี่บี