ข่าว'นิโคลีน' เดินตามฝัน ไม่ง่ายแต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ - kachon.com

'นิโคลีน' เดินตามฝัน ไม่ง่ายแต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
บันเทิง

photodune-2043745-college-student-s
ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หลังจากสาวงามไทย นิโคลีน-พิชาภา ลิมศนุกาญจน์ หรือ นิโคลสามารถสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับโลก ด้วยการคว้าตำแหน่ง รองอันดับ 1 มิสเวิลด์ 2018  สัปดาห์นี้ “ดาวต่างมุม” เลยถือโอกาสเปิดใจนิโคลีนหลังรับตำแหน่งอันทรงเกียรติ พร้อมอัพเดทชีวิตหลังจากประกวด  เพื่อให้แฟน ๆ ได้ทำความรู้จักสาวลูกเสี้ยว ไทย-จีน-อเมริกัน คนนี้มากขึ้น

ชีวิตหลังจากประกวดเปลี่ยนไปเลยไหม?
“เปลี่ยนไปเลยค่ะ ณ ตอนนี้เราได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ พอกลับมาประเทศไทย มาทำงาน ก็มีแต่คนอ้าแขนต้อนรับนิโคล เรามาอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้คิดว่าตัวเองดังแล้ว แต่เราคิดว่าเราเป็นคนธรรมดาที่มีแพลตฟอร์มที่แข็งแรงขึ้น และจะพยายามทำให้สังคมดีขึ้น นิโคลคิดว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าเราหยิ่ง ไม่ติดดิน ก็คงไม่มีใครชอบ ซึ่งนิโคลเป็นคนติดดิน ไม่ชอบอวดเลย เราเลยคิดว่านี่เป็นข้อดีของเราที่เราคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา เราเป็นแค่คนทำงานที่ใส่มงกุฎ ใส่สายสะพาย  แต่เราเป็นคนที่จับต้องได้”

กับรางวัลที่ได้รับเกินความคาดหมายของเราไหม?
“นิโคลบอกกับตัวเองว่าเราจะทำให้ดีที่สุด บอกกับตัวเองว่าเราจะเอาสายสะพายประเทศไทยเข้ารอบให้ลึกที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วพอเขาประกาศว่าเราได้ตำแหน่ง ราชินีแห่งทวีปเอเชีย (Continental Queen of Asia) เราได้ทำประวัติศาสตร์ใหม่ให้ประเทศไทยแล้วในรอบ 20 กว่าปี และเราก็ดีใจมากที่เราเข้าถึงรอบ 5 คนสุดท้าย และพอประกาศว่าเราเป็น รองอันดับ 1 มิสเวิลด์ 2018  ก็คือใกล้ที่สุดแล้วที่คนไทยได้เข้าใกล้ตำแหน่งมิสเวิลด์ ถึงเราจะไม่ได้ตำแหน่ง แต่เราก็ได้สร้างความภูมิใจให้กับประเทศไทยค่ะ”

พอกลับมาแล้วหลายคนมองว่าเราเป็นไอดอลเยอะเลยนะ?
“เราก็ดีใจมากค่ะ มีเด็กคนหนึ่งส่งข้อความในอินสตาแกรมเข้ามาว่าเขาเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกานะ แลัวพรุ่งนี้มีสอบ และจะไปออดิชั่นกีฬา คัลเลอร์การ์ด แบบที่พี่ทำ หนูอยากจะเป็นเหมือนพี่ อยากเก่งเหมือนพี่ ตรงนี้ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม เป็นคนที่ดีขึ้น เพราะการเดินทางมาถึงจุดนี้ของนิโคลไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ แค่นิโคลพร้อมที่จะทำงาน พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง อยากจะพัฒนาตัวเองในทุก ๆ วัน และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว เราเจออะไรมาหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราท้อ เราเหนื่อย แต่เราเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ อยากให้ทุกคนเห็นว่าเราทำได้จริง ๆ เราสามารถประสบความสำเร็จและมั่นใจในตัวเอง นิโคลได้ยินหลายคนที่อยากประกวดแล้วบอกว่า เราไม่สูง เราไม่สวยพอ แต่เราก็คิดว่าตรงนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งสำคัญคือคุณกล้าที่จะแตกต่างไหม และทำอะไรเพื่อสังคมไหม คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนางงาม หรือคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนติดตามเป็นล้าน เราแค่ทำตัวเองให้ดี และให้คนอื่นเห็นว่าคนแบบนี้มีจริง นั่นก็คือการขับเคลื่อนสังคมแล้ว”



อย่างที่ทราบกันว่านิโคลพลาดตำแหน่งจากเวทีหนึ่งก่อน เราตัดสินใจนานไหมที่จะกลับมาประกวดอีกครั้ง?
“การประกวดสองเวทีนี้ห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์กว่า ๆ เป็นเวลาที่สั้นมาก และการประกวดแต่ละครั้งเหนื่อยมาก เหมือนเราทำงานทุกวันติดต่อกันโดยไม่มีวันหยุด  และดึงพลังงานของเราไปเยอะมาก ทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ และด้านจิตใจ พอเราลงมาจากเวทีก็ท้อมา แต่ระหว่างทางที่จะกลับบ้าน มีแต่คนเข้ามาบอกว่า ต้องไปต่อนะ ถ้าไม่ไปเวทีอื่น ก็กลับมาปีหน้า เราก็เลยปรึกษาครอบครัว ว่าจะประกวดต่อดีไหม ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ อาจจะกลับบ้านที่อเมริกาก็ได้ คุณแม่ก็เลยบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าอยากลองดูอีกสักตั้ง ถ้าไม่ผ่านเวทีนี้ก็คงไม่ประกวดอีกแล้วแหละ ใน 3 สัปดาห์นั้น นิโคลกลับมามองตัวเอง กลับมาประเมินตัวเอง ว่าเราจะทำอะไรให้ดีกว่าเดิม ให้เก่งกว่าเดิม เพื่อที่เราจะได้ไปเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ เราก็เลยบอกตัวเองว่าเราจะต้องสู้ต่อและจะไม่หยุดอยู่ตรงนี้”

อะไรทำให้นิโคลรักการประกวด?
“นิโคลเริ่มประกวดจริงจังที่เป็นเวทีใหญ่เลย ตอนอายุ 15 ปี คุณแม่บอกว่า มิสไทยนิวเยียร์ ยูเอสเอ เขาจะจัดเป็นปีสุดท้ายแล้วจะลองดูไหม เพราะเราประกวดมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วก็รู้สึกชอบ เราชอบการแข่งขันมาก ๆ อาจจะเพราะคุณพ่อเราเป็นนักกีฬาด้วย พอเราไปประกวดก็ทำให้รู้ว่าไม่ใช่สวยอย่างเดียวแล้วจะได้ เพราะเราก็ยอมรับว่าเราไม่ได้สวยที่สุดในวันนั้น แต่เราสามารถทำอย่างอื่นได้ สามารถพัฒนาตัวเองได้ เราไปนำเสนอสิ่งดี ๆ เหมือนเป็นการแข่งกันที่ความเก่ง ความสามารถ จากนั้นก็เลยลองมาประกวดที่เมืองไทยดู เพราะถึงแม้เราจะถือสัญชาติอเมริกัน แต่เราก็เป็นคนไทย ที่บ้านเลี้ยงเราให้เป็นคนไทย นิสัยเราเป็นคนไทย เราไปวัดทุกวันอาทิตย์ งานสงกรานต์ งานลอยกระทง และที่นั่นก็มีสังคมไทยเล็ก ๆ ของเรา ทุกคนรู้จักกันหมด แล้วก็มีงานสังคม งานจิตอาสาที่คนไทยที่จัดขึ้นมาด้วย  เช่น โครงการขาเทียม หรือโครงการช่วยเด็กกำพร้าที่เชียงใหม่ ฯลฯ ตรงนี้เราทำตั้งแต่เด็ก เป็นสิ่งที่ปลูกฝังมาในตัวเราอยู่แล้ว ก่อนที่เราจะทำโครงการ “เลิฟ ฟอร์ ออล (love for all)”  ซึ่งทุกคนรอบข้างนิโคลรู้จักหมด และอยากจะช่วยหมด เพราะไม่ใช่แค่โครงการช่วยเหลือเด็กออทิสติก แต่เป็นโครงการที่ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา เพื่อให้เขามีความสุขในชีวิตที่ดีขึ้น พอมาถึงวันนี้โครงการของเรามาไกลมากไปถึงระดับโลก ซึ่งนิโคลรู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ทำให้คนทั่วโลกรับรู้ได้”

พอกลับมาเมืองไทยแล้ว แพลนงานหลังจากนี้ไว้ยังไงบ้าง?
“หลังจากนี้นิโคลจะเริ่มไปเรียนที่ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับด้านธุรกิจ เพราะได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยที่ดี ก็ตั้งใจว่าจะใช้ความรู้ด้านนี้กับโครงการ “เลิฟ ฟอร์ ออล (love for all)”  ให้ไปไกลยิ่งขึ้น และระหว่างนั้น นิโคลก็อยากทำงานในวงการบันเทิง เราเคยได้ทดลองงานด้านพิธีกรก็รู้สึกว่าชอบ และเราก็เคยเรียนการแสดงที่ ดราม่า อคาเดมี มาก็รู้สึกว่าเราสนใจเพราะเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ หลายคนอาจจะมองว่าการแสดงเป็นอะไรที่เฟค หรือโกหก แต่การเป็นนักแสดงในความคิดนิโคลคือการเลียนแบบชีวิตจริง คนจริง และการสื่อสารอารมณ์ให้ได้  ซึ่งถ้าเราอยู่ในวงการบันเทิง นิโคลก็จะสามารถใช้ประสบการณ์ตรงนี้ ไปทำงานอาสาสมัครของเราได้ด้วย”



ตอนนี้ปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเมืองไทยได้หรือยัง?
“ตอนนี้โอเคแล้วค่ะ แต่ 6 เดือนแรกก็ยากนิดหนึ่ง คุณแม่บินมาอยู่เป็นเพื่อนแค่เดือนเดียวแล้วก็บินกลับ หลังจากนั้นเราต้องทำทุกอย่างเอง ซึ่งก็ทำให้เราโตขึ้น ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่เรื่องภาษาจะเป็นอะไรที่ยาก เพราะนิโคลอยู่อเมริกา จะใช้ภาษาไทยกับคุณยาย คุณแม่ และผู้ใหญ่ เราเลยไม่รู้จักศัพท์สแลง ไม่เคยคุยภาษาวัยรุ่น พอเจอเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน เราก็จะงงว่าเขาคุยอะไรกัน ต้องปรับตัวนิดหนึ่ง แต่นิโคลคิดว่าตอนนี้เราก็ได้เรียนรู้มากขึ้น และจะได้เรียนรู้มากขึ้นเมื่อเราได้ไปเจอเพื่อนที่มหาวิทยาลัย จะได้รู้ว่าสังคมของคนอายุ 20 ปี เขาทำอะไรกัน เพราะเราอยู่กับผู้ใหญ่ หรืออยู่กับคนที่เด็กกว่าตลอด”

ถามเรื่องหัวใจของนิโคลบ้าง?
      
“นิโคลไม่เคยมีแฟนค่ะ เพราะแม่ไม่ให้เดท ไม่ให้มีแฟน สมัยอยู่โรงเรียนนิโคลก็มีคนที่คุยด้วยทุกวัน แต่เราไม่ได้ตั้งกฎว่าเราเป็นแฟนกันนะ จริง ๆ อาจจะเพราะว่าเราเป็นคนไทยด้วย เด็กอเมริกันเขาออกเดทกันตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ซึ่งเพื่อนเราแต่งงานจนมีลูกคนที่สองแล้ว เลยทำให้นิโคลรู้ว่า การลำดับความสำคัญในชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างนิโคล งานมาก่อนความรัก  ครอบครัวมาก่อนงาน ความรักจะเป็นอะไรที่อยู่ไกลเรามาก ๆ เราไม่เร่งรีบเรื่องความรัก เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็คงมีเข้ามา แต่ถ้าถามถึงสเปก นิโคลเป็นคนชอบคนทำงานค่ะ ชอบคนที่เขามีเป้าหมายในชีวิต ทั้งเป้าหมายทางไกล และเป้าหมายระหว่างทาง และนิโคลก็คาดหวังว่าเขาจะเป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจกัน และสนับสนุนกัน แชร์ความคิดเห็นกัน เราชอบคนฉลาดที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เราไม่อยากคิดให้ใคร และชอบคนสะอาด ดูดี จะอายุมากกว่าก็ได้”

สุดท้ายฝากถึงแฟน ๆ นางงามที่ส่งใจเชียร์เรามาตลอด?
“นิโคลอยากจะขอบคุณทุกคนมาก ๆ เกือบจะ 1 ปีแล้วที่เราอยู่ด้วยกัน ก็อยากให้ทุกคนดูนิโคลไว้ว่า เราสามารถที่จะมีความสุขได้ เราสามารถจะผ่านอะไรที่หนักหนาสาหัสในชีวิตได้ แค่เราพร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง พร้อมที่จะเติบโต และมีเป้าหมายของตัวเอง”

การได้พูดคุย และได้รู้ถึงทัศนคติของผู้หญิงคนนี้ บอกได้คำเดียวว่าสมมงจริง ๆ.

........................................................
นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / ภมร มานะพรชัย : ภาพ